การลดการตีตรา และการเลือกปฏิบัติ เพื่อสร้างวัฒนธรรมคุณภาพที่เปิดกว้างในโรงพยาบาล การบรรยายนี้มุ่งเน้นไปที่ผู้ติดเชื้อ HIV เป็นหลัก เนื่องจากผลกระทบด้านลบที่ยังเป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบันต่อการเข้ารับการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี การเปิดเผยสถานะการติดเชื้อเอชไอวี การดูแลรักษาด้วยยา และการมาโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการลดการตีตรา และการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ HIV จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ระบบสาธารณสุขที่เท่าเทียม
การตีตรา และการเลือกปฏิบัติ: อุปสรรคสำคัญในระบบสาธารณสุข
การตีตรา (Stigma) หมายถึง ความเชื่อเชิงลบที่สังคม หรือ บุคคลมีต่อกลุ่มคนบางกลุ่ม ซึ่งนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ (Discrimination) หรือ การปฏิบัติต่อบุคคล หรือ กลุ่มบุคคลอย่างแตกต่างกัน การตีตรา และการเลือกปฏิบัติในสถานพยาบาลส่งผลให้ผู้ป่วยไม่กล้าเข้ารับการรักษา ลดความร่วมมือในการรักษา และส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต
ตัวอย่างของการตีตราในโรงพยาบาล ได้แก่ การแสดงท่าทีรังเกียจผู้ป่วย การป้องกันตนเองมากเกินความจำเป็น การเหมารวมผู้ป่วย และการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้รับบริการ แต่ยังรวมถึงผู้ให้บริการที่อาจเผชิญกับการตีตราเช่นกัน แม้สถานการณ์ในประเทศไทยจะดีขึ้น แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับ HIV อยู่มาก
ผลกระทบของการตีตราและการเลือกปฏิบัติ
การตีตราและการเลือกปฏิบัติส่งผลเสียหลายด้าน
- ต่อผู้ป่วย: ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสงสัย ถูกปฏิเสธ ไม่กล้าเปิดเผยสถานะสุขภาพ ลดความร่วมมือในการรักษา (เช่น การรับประทานยา) และอาจตัดสินใจไม่เข้ารับการรักษา นอกจากนี้ยังอาจนำไปสู่การตีตราตนเอง (internalized stigma) ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึกผิดและความภาคภูมิใจในตนเอง
- ต่อบุคลากรทางการแพทย์: อาจเกิดความกลัวในการดูแลผู้ป่วยบางกลุ่ม มีทัศนคติเชิงลบ และใช้มาตรการป้องกันตนเองมากเกินความจำเป็น สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลต่อคุณภาพการดูแลและบรรยากาศในการทำงาน
- ต่อสถานพยาบาล: นำไปสู่ผลลัพธ์การรักษาที่ไม่เท่าเทียมกัน การไม่รับรักษาผู้ป่วย HIV และส่งผลเสียต่อวัฒนธรรมโดยรวมขององค์กร
U=U: เป้าหมายสำคัญของการดูแลผู้ติดเชื้อ HIV
แนวคิด U=U (Undetectable = Untransmittable : “ตรวจไม่พบ” เท่ากับ “ไม่แพร่”) หมายถึง หากผู้ติดเชื้อสามารถลดปริมาณไวรัสจนอยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable) ก็จะไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ (Untransmittable) อย่างไรก็ตาม การบรรลุ U=U จำเป็นต้องมีการกินยาอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ U=U จะช่วยลดความกลัวและการตีตราต่อผู้ติดเชื้อ HIV ได้
DEI และการสร้างวัฒนธรรมที่เท่าเทียม
แนวคิด Diversity, Equity, and Inclusion (DEI) มีความสำคัญในระบบสาธารณสุขระดับสากล เพื่อให้ทุกคนได้รับบริการอย่างเท่าเทียมโดยไม่คำนึงถึงสถานะใดๆ การสร้างวัฒนธรรมที่ดี (Good Culture) ช่วยลดอคติและการเลือกปฏิบัติในระบบสุขภาพ
Diversity (ความหลากหลาย) หมายถึง ความหลากหลายของผู้คน
Equity (ความเท่าเทียม) หมายถึง ความเท่าเทียมกัน
Inclusion (การมีส่วนร่วม) หมายถึง การที่ทุกคนมีส่วนร่วมกัน
Cultural Hacking และ Nudges: เครื่องมือปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
Cultural Hacking (กะเทาะเปลือกวัฒนธรรม) เป็นแนวทางที่ใช้วิธีการเล็ก ๆ เพื่อค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงระบบ และวัฒนธรรมองค์กร เช่น การส่งเสริมให้บุคลากรกินข้าวร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV เพื่อลดการตีตรา หรือให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมในการดูแลผู้ป่วย HIV
Nudges (ทฤษฎีการสะกิด) เป็นการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยที่บุคคลไม่รู้ตัว เช่น การติดป้ายเตือนที่เคาน์เตอร์ยาเพื่อให้เภสัชกรใช้ภาษาที่ไม่ก่อให้เกิดการตีตรา การกระตุ้นเตือนกลายเป็นที่นิยมในสถานที่ทำงาน เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมได้โดยไม่ต้องมีผู้นำที่เข้มงวด
ประสบการณ์ของบุคลากรทางการแพทย์ และผู้รับบริการ
บุคลากรทางการแพทย์ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อ HIV และอาจมีการป้องกันตนเองเกินความจำเป็น ซึ่งเกิดจากความไม่รู้ และความกลัว การให้ความรู้เกี่ยวกับช่องทางการติดต่อ และการป้องกันที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ
ในขณะเดียวกัน ผู้ติดเชื้อ HIV หลายคนยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในสถานพยาบาล และชุมชน บางคนไม่ไปรับการรักษาต่อเนื่องเพราะกลัวการถูกตีตรา รวมถึงการเปิดเผยสถานะโดยไม่ได้รับความยินยอมยังคงเป็นปัญหาใหญ่ นอกจากนี้ การตีตราตนเอง (Self-stigma) ของผู้ติดเชื้อเองก็เป็นอุปสรรคต่อการรักษา และคุณภาพชีวิตของพวกเขาด้วย
แนวทางลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติ
- สร้างความตระหนัก และให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับ HIV ช่องทางการติดต่อ และ U=U
- เปลี่ยนแปลงทัศนคติของบุคลากรทางการแพทย์ ให้เปิดกว้างและไม่มีอคติ
- ปรับปรุงกระบวนการบริการ เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติ เช่น การเรียกรับยาที่ไม่เปิดเผยสถานะของผู้ป่วย อาจจะใช้คำเรียกจากเดิม “รับยาต้านไวรัส” เป็น “รับยาตรงเวลา”
- ใช้ Cultural Hacking และ Nudges เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
- สื่อสารด้วยความเคารพ และให้เกียรติผู้ป่วยทุกคน
- รับฟังความคิดเห็นของผู้รับบริการ และนำมาปรับปรุงบริการ
- ลดการตีตราตนเองของผู้ติดเชื้อ โดยให้การสนับสนุนด้านจิตใจ
- สร้างมาตรฐานการปฏิบัติ ที่ชัดเจน และเท่าเทียมสำหรับผู้ป่วยทุกคน
- พัฒนานโยบายระดับองค์กร ที่สนับสนุนการไม่ตีตรา และไม่เลือกปฏิบัติ
- ร่วมมือกับภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
บทสรุปการลดการตีตรา และการเลือกปฏิบัติเพื่อสู่อนาคตวัฒนธรรมที่เท่าเทียม
การลดการตีตรา และการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ HIV ต้องอาศัยความเข้าใจที่ถูกต้อง การปรับเปลี่ยนทัศนคติของบุคลากรทางการแพทย์ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และเคารพต่อผู้ป่วยทุกคน การทำให้ HIV เป็นเรื่องปกติในสังคม (Normalization) จะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในการดูแลรักษา และป้องกันการแพร่เชื้ออย่างยั่งยืน
ดร.ภญ.วรรณา ตั้งภักดีรัตน์ ผู้ถอดความ