วันพุธ, มีนาคม 26, 2025
หน้าแรก บล็อก
"Building Quality and Safety Culture for the Future Sustainability"      ตลอดระยะเวลาการจัดงาน HA National Forum ครั้งที่ 25 ที่ผ่านมา เราได้เห็นพลังแห่งการขับเคลื่อนคุณภาพในระบบสุขภาพไทยที่เข้มแข็ง และน่าประทับใจ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้บริหาร และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากทั่วประเทศได้มารวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ ภายใต้แนวคิด "สร้างวัฒนธรรมคุณภาพ และความปลอดภัย เพื่อความยั่งยืนในอนาคต" บทเรียน และความท้าทายของระบบสุขภาพไทย      ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ระบบสุขภาพไทยได้เผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งการระบาดของโรคอุบัติใหม่ การเพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัย ความซับซ้อนของโรคเรื้อรัง และข้อจำกัดด้านทรัพยากร สิ่งเหล่านี้ทำให้เรา "จำเป็น" ต้องปรับตัว และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การสร้างวัฒนธรรมคุณภาพ และความปลอดภัยจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็น "ความจำเป็น" สำหรับการสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืนในอนาคต      การประชุมครั้งนี้ได้นำเสนอแนวคิด และเครื่องมือที่หลากหลายในการยกระดับคุณภาพการดูแลผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม การเสริมสร้างความปลอดภัยในการรักษา และการดูแลสุขภาพบุคลากรทางการแพทย์ ประเด็นเหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนระบบสุขภาพไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง การสร้างวัฒนธรรมคุณภาพที่ยั่งยืน      สิ่งที่เราได้เรียนรู้ร่วมกันคือ วัฒนธรรมคุณภาพ และความปลอดภัยไม่ใช่เพียงนโยบายหรือแนวปฏิบัติ แต่เป็น "วิถีชีวิต"...
Systematic Process Design for Medication Safety: Emergency Medication การจัดการยาใน CPR box, ambulance box และ การทำหน้าที่ Antidote Hub โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ นำเสนอการพัฒนาคุณภาพ เพื่อลดความเสี่ยงการใช้ยาฉุกเฉิน CPR box, ambulance box และ antidote hub โดยการออกแบบเชิงระบบ ได้แก่ CPR Box การกำหนดนโยบายของยาฉุกเฉินและยาเร่งด่วนในโรงพยาบาล พัฒนา emergency cart รวมกับ emergency box ลดความเสี่ยงของยา HAD เช่น เปลี่ยน 50%MgSO4 เป็น 10% แทน จัดทำแนวทางการใช้ยา antidote ในเด็กที่พร้อมใช้ เนื่องจากขนาดการใช้ antidote ในเด็ก เกิดขึ้นไม่บ่อย ไม่คุ้นเคยในการใช้ เพื่อลดความเสี่ยงในการใช้ยา จึงเริ่มจากการทำ RAMA tape, RAMA Ped card ตารางยาฉุกเฉิน...
การจัดการด้านยาที่มีประสิทธิภาพ เป็นกระบวนการหนึ่งที่สำคัญในโรงพยาบาล เนื่องจากส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย ซึ่ง “Closed loop medication management” เป็นการบูรณาการทุกขั้นตอนของการจัดการด้านยาตั้งแต่การสั่งยาจนถึงการบริหารยา โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ปลอดภัย ด้วยการทำให้กระบวนการเป็นอัตโนมัติ ต่อเนื่อง และมีตรวจสอบข้อมูลในแต่ละขั้นตอน การวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียด ครอบคลุม โดยนำข้อมูลความคลาดเคลื่อนที่พบบ่อยในแต่ละขั้นตอน ร่วมกับวิเคราะห์โอกาสการเกิดความคลาดเคลื่อน เช่น  ชนิดยา ความแรงของยา ขนาดยา ความถี่ในการใช้ยา วิถีการใช้ยา ฯลฯ และหลักการออกแบบให้ปลอดภัยขอให้เน้นขั้นตอนแรกของการใช้ยาซึ่งหากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น โอกาสเกิดข้อผิดพลาดในขั้นตอนต่อไปก็จะมีมากขึ้น กระบวนการแรกของการใช้ยาเริ่มจาก “การสั่งยา” ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่มีการสั่งผ่านระบบคอมพิวเตอร์ (Computerised Physician Ordering Entry system: CPOE) หากมีการวิเคราะห์ขั้นตอนนี้โดยละเอียด สามารถนำไปออกแบบให้มีฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในการสั่งใช้ยา (Clinical Decision Support System: CDSS) ซึ่งช่วยให้การสั่งยาปลอดภัยเพิ่มขึ้น กระบวนการที่สำคัญอีกขั้นตอนได้แก่ “การทบทวนคำสั่งการใช้ยา” เพื่อให้มั่นใจว่าคำสั่งการใช้ยานั้นถูกต้อง ปลอดภัย ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการจัดยาโดยเครื่องจัดยาอัตโนมัติหรือกึ่งอัตโนมัติ และนำไปบริหารให้ผู้ป่วยโดยต้องออกแบบให้มั่นใจว่าถูกต้องตามหลักบริหารยา เช่นกัน โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาการุณย์ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำระบบบริหารยามาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเริ่มจากนำปัญหาความล่าช้า และความถูกต้อง ของการบริหารยา นำไปสู่การกำหนดนโยบาย และร่วมกันออกแบบการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้แก่ ระบบจ่ายยาอัตโนมัติ มาจัดการเพิ่มความปลอดภัย และลดระยะเวลาในการบริหารยา...
วัฒนธรรมองค์กร: รากฐานสู่ความสำเร็จ      วัฒนธรรมองค์กรเปรียบเสมือนรากฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งหล่อหลอมให้องค์กรเติบโต และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน วัฒนธรรมที่ดีไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่ต้องมาจากการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ และทุกคนในองค์กรต้องมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ องค์ประกอบสำคัญของวัฒนธรรมองค์กร ค่านิยม (Value): เป็นสิ่งที่องค์กรยึดถือและปฏิบัติ ค่านิยมที่ดีจะนำไปสู่การกระทำที่ถูกต้องและเหมาะสม ความรับผิดชอบ (Accountability): บุคลากรต้องมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง และพร้อมที่จะรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น การมีส่วนร่วม (Involvement): บุคลากรควรมีโอกาสในการแสดงความคิดเห็น และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ความสม่ำเสมอ (Consistency): องค์กรต้องมีความสม่ำเสมอในการปฏิบัติตามค่านิยม และกฎระเบียบต่างๆ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างที่ดี: ผู้นำต้องปฏิบัติตามค่านิยมขององค์กร และเป็นแรงบันดาลใจให้พนักงาน ส่งเสริมการเรียนรู้ และพัฒนา: องค์กรควรส่งเสริมให้บุคลากรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง สร้างบรรยากาศที่เปิดกว้าง: องค์กรควรสร้างบรรยากาศที่พนักงานสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ และไม่กลัวที่จะทำผิดพลาด ให้ความสำคัญกับพนักงาน: องค์กรควรให้ความสำคัญกับบุคลากร และดูแลความเป็นอยู่ของบุคลากรให้ดี ประโยชน์ของวัฒนธรรมองค์กรที่ดี เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: วัฒนธรรมที่ดีจะช่วยให้บุคลากรทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายขององค์กร สร้างความพึงพอใจให้กับพนักงาน: วัฒนธรรมที่ดีจะช่วยให้บุคลากรรู้สึกพึงพอใจกับงาน และมีความสุขในการทำงาน ดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถ: วัฒนธรรมที่ดีจะช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ และรักษาพนักงานที่มีอยู่ให้อยู่กับองค์กรนานๆ สร้างความสำเร็จให้กับองค์กร: วัฒนธรรมที่ดีจะช่วยให้องค์กรเติบโตและประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน ตัวอย่างประยุกต์ให้ในบริบทโรงพยาบาล การสร้างวัฒนธรรมแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วย (Patient Safety Culture): ค่านิยม: ความปลอดภัยของผู้ป่วยต้องมาเป็นอันดับแรก การนำไปใช้: ส่งเสริมการรายงานข้อผิดพลาดโดยไม่ถูกตำหนิ เพื่อเรียนรู้ และป้องกันการเกิดซ้ำ ...
หลักการสำคัญของระบบความปลอดภัยโดยรวมคือ: การออกแบบระบบ: การออกแบบระบบที่คำนึงถึงข้อจำกัดของมนุษย์ เช่น การที่มนุษย์ไม่สามารถจดจำข้อมูลที่ไม่ได้ใช้บ่อยได้ การใช้เครื่องมือช่วยเตือนความจำ (cognitive aids) เช่น คู่มือฉุกเฉิน จึงมีความสำคัญในการช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง และปลอดภัย โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน แม้ว่าบุคลากรทางการแพทย์บางส่วนอาจรู้สึกว่าการใช้เครื่องมือเหล่านี้เป็นการดูถูกความสามารถของตนเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เครื่องมือเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากในการป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ การมีส่วนร่วมของผู้ป่วย และครอบครัว: การให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมในการออกแบบ และส่งมอบการดูแลเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากจะช่วยให้เข้าใจกระบวนการรักษาและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ดีขึ้น การอธิบายให้ผู้ป่วย และครอบครัวเข้าใจถึงกระบวนการรักษาจะช่วยให้พวกเขามีส่วนร่วมในการดูแลตนเอง และลดความเสี่ยงของปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และเอื้อต่อการทำงาน: การดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของบุคลากรทางการแพทย์ และบุคลากรสาธารณสุขเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งรวมถึงการดูแลทั้งด้านร่างกายและจิตใจ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการทำงาน เช่น การป้องกันบุคลากรจากอันตรายจากการเตรียมยาเคมีบำบัด การมีระบบการเรียนรู้ และการแบ่งปันบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะช่วยปรับปรุงความปลอดภัย และคุณภาพของการดูแล และลดความเสี่ยงของปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้      โดยสรุปแล้ว การสร้างระบบความปลอดภัยโดยรวมในสถานพยาบาลต้องอาศัยหลักการสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การออกแบบระบบที่คำนึงถึงข้อจำกัดของมนุษย์ การมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและครอบครัว และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการทำงาน ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายและยั่งยืนในการดูแลผู้ป่วย สรุปโดย ภก.ดร.ทรงศักดิ์ ทองสนิท
“สมดุลแปลว่าเท่ากัน” จริงหรือ? ความเป็นมาและความสำคัญ      ในปัจจุบัน ประเด็นเรื่องความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) และความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-life Balance) ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่หลายองค์กรให้ความสนใจและพยายามที่จะส่งเสริม เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสุข ความพึงพอใจ และประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาองค์กรที่ยั่งยืน (Sustainable Development) โดยเฉพาะในเรื่องของ Green HR ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดี และสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานของพนักงาน ความหมาย และความเข้าใจ ความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being): ไม่ได้มีนิยามที่ตายตัว แต่โดยทั่วไปหมายถึง สภาวะที่บุคคลมีอารมณ์และความรู้สึกเชิงบวก มีความพึงพอใจในชีวิต มีความรู้สึกเติมเต็ม และสามารถทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นเชิงบวกได้ รวมถึงมีความสมดุลทั้งในเรื่องชีวิตและการทำงาน ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-life Balance): ไม่ได้หมายถึงการแบ่งเวลาให้เท่ากันระหว่างชีวิตส่วนตัว และการทำงาน แต่หมายถึงการที่บุคคลสามารถบริหารจัดการชีวิต และการทำงานได้โดยที่ไม่เกิดผลกระทบในเชิงลบต่อด้านใดด้านหนึ่ง และสามารถก้าวต่อไปได้โดยไม่ล้ม ความท้าทายในการส่งเสริม Well-being และ Work-life Balance แม้ว่าหลายองค์กรจะพยายามส่งเสริม Well-being และ Work-life Balance ของพนักงาน แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการ เช่น การขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง: หลายคนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Well-being และ Work-life Balance ทำให้การส่งเสริมไม่ตรงจุด ...
     การลดการตีตรา และการเลือกปฏิบัติ เพื่อสร้างวัฒนธรรมคุณภาพที่เปิดกว้างในโรงพยาบาล การบรรยายนี้มุ่งเน้นไปที่ผู้ติดเชื้อ HIV เป็นหลัก เนื่องจากผลกระทบด้านลบที่ยังเป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบันต่อการเข้ารับการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี การเปิดเผยสถานะการติดเชื้อเอชไอวี การดูแลรักษาด้วยยา และการมาโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการลดการตีตรา และการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ HIV จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ระบบสาธารณสุขที่เท่าเทียม  การตีตรา และการเลือกปฏิบัติ: อุปสรรคสำคัญในระบบสาธารณสุข      การตีตรา (Stigma) หมายถึง ความเชื่อเชิงลบที่สังคม หรือ บุคคลมีต่อกลุ่มคนบางกลุ่ม ซึ่งนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ (Discrimination) หรือ การปฏิบัติต่อบุคคล หรือ กลุ่มบุคคลอย่างแตกต่างกัน การตีตรา และการเลือกปฏิบัติในสถานพยาบาลส่งผลให้ผู้ป่วยไม่กล้าเข้ารับการรักษา ลดความร่วมมือในการรักษา และส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต      ตัวอย่างของการตีตราในโรงพยาบาล ได้แก่ การแสดงท่าทีรังเกียจผู้ป่วย การป้องกันตนเองมากเกินความจำเป็น การเหมารวมผู้ป่วย และการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้รับบริการ แต่ยังรวมถึงผู้ให้บริการที่อาจเผชิญกับการตีตราเช่นกัน แม้สถานการณ์ในประเทศไทยจะดีขึ้น แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับ HIV อยู่มาก  ผลกระทบของการตีตราและการเลือกปฏิบัติ การตีตราและการเลือกปฏิบัติส่งผลเสียหลายด้าน ต่อผู้ป่วย: ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสงสัย ถูกปฏิเสธ ไม่กล้าเปิดเผยสถานะสุขภาพ ลดความร่วมมือในการรักษา (เช่น การรับประทานยา) และอาจตัดสินใจไม่เข้ารับการรักษา นอกจากนี้ยังอาจนำไปสู่การตีตราตนเอง (internalized stigma)...
     การพัฒนาบุคลากรถือเป็นหัวใจสำคัญที่องค์กรต้องให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในยุคที่องค์กรต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แนวคิด "พิมพ์เขียวการพัฒนาบุคลากร" (Human Resource Development Blueprint: HRD Blueprint) จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทาง และวิธีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด แล้ว HRD Blueprint นั้นแตกต่างจาก HR 4.0 หรือ HR 5.0 อย่างไร วันนี้จะมาเล่าให้ฟัง      HRD Blueprint คือ แนวทางการพัฒนาบุคลากรที่เป็นระบบ และมีความต่อเนื่อง ครอบคลุมบุคลากรทุกคนในองค์การ โดยบุคลากรจะได้รับการพัฒนาอย่างสมดุลในทุกด้าน เพื่อตอบสนองการเติบโต และการเปลี่ยนแปลงขององค์การในอนาคต อีกทั้งสอดรับกับแนวคิดการพัฒนาองค์การอย่างยั่งยืน (ศ.ดร.จิรประภา อัครบวร)      แนวคิด HRD Blueprint ประกอบด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน อาทิ การพัฒนาสมรรถนะในการทำงาน การเสริมสร้างค่านิยม และวัฒนธรรมองค์กร การส่งเสริมความก้าวหน้าในอาชีพ และการดูแลสุขภาพกายใจ และสมดุลชีวิตของพนักงาน ทั้งนี้เราต้องมองภาพ Human Resource Development แบบองค์รวม เมื่อคนในองค์กรพัฒนาแล้วองค์กรก็ต้องพัฒนาด้วย รวมถึงต้องมีการสร้างกรอบแนวคิดว่าแต่ละคนจะต้องได้รับการพัฒนาอะไร เพื่อไม่ให้การพัฒนาคนในองค์กรมีทิศทางไปอย่างสะเปะสะปะ โดยหลักในการทำ HRD...
The Significance of Medication Errors in Thailand      Patient safety is one of the most critical issues in Thailand's healthcare system, with medication errors (ME) representing a significant problem that can potentially cause severe harm or even death. Thousands of medication errors are reported annually, but there remain limitations in analyzing this data effectively.      The Healthcare Accreditation Institute...
การประยุกต์ใช้ NLP และ AI เพื่อตรวจจับความคลาดเคลื่อนทางยาในระบบสาธารณสุขไทย      ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลมีบทบาทสำคัญ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกกำลังเปลี่ยนโฉมวงการสาธารณสุขไทย โดยเฉพาะในประเด็นความปลอดภัยของผู้ป่วยจากความคลาดเคลื่อนทางยา การนำเทคโนโลยี AI และ NLP มาประยุกต์ใช้กับระบบรายงานอุบัติการณ์แห่งชาติกำลังเปิดมิติใหม่ในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางยา ความท้าทายของความคลาดเคลื่อนทางยาในประเทศไทย      ระบบสาธารณสุขไทยเผชิญความท้าทายสำคัญในการรับประกันความปลอดภัยของผู้ป่วย โดยเฉพาะความคลาดเคลื่อนทางยา (Medication Errors: ME) ซึ่งอาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรงและการเสียชีวิตได้      สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน)  ได้พัฒนาระบบการรายงาน และเรียนรู้อุบัติการณ์ความเสี่ยงทางคลินิกและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์แห่งชาติ (National Reporting and Learning System: NRLS) เพื่อติดตามและวิเคราะห์เหตุการณ์ด้านความปลอดภัยของผู้ป่วย ปัญหาสำคัญคือ: ข้อมูลอุบัติการณ์ส่วนใหญ่ถูกบันทึกในรูปแบบข้อความอิสระ (free-text) ซึ่งในอดีตยากต่อการวิเคราะห์และไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ทำไมต้องใช้ข้อความอิสระ (Free-text)? การใช้ข้อความอิสระในระบบรายงานอุบัติการณ์ NRLS มีเหตุผลสำคัญ: ความซับซ้อนของเหตุการณ์: อุบัติการณ์ความเสี่ยงทางยามีความซับซ้อนและรายละเอียดหลากหลาย การใช้ระบบ dropdown หรือ radial boxes จะต้องออกแบบตัวเลือกที่มีความละเอียดมากเกินไป (deep hierarchy) ข้อจำกัดของ Working Memory: บุคลากรทางการแพทย์มีความจำการทำงาน (working memory) จำกัดในการเลือกรายละเอียดซับซ้อนจากตัวเลือกจำนวนมาก ความสมบูรณ์ของข้อมูล: การใช้ข้อความอิสระช่วยให้บุคลากรสามารถบันทึกรายละเอียดได้ครบถ้วนมากกว่า ปฏิวัติการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI...
- Advertisement -

MOST POPULAR

HOT NEWS