วันอาทิตย์, มีนาคม 16, 2025
การใช้ AI ในการรักษาพยาบาล
จากการที่สมรรถนะของคอมพิวเตอร์สูงขึ้นอย่างมากประกอบกับการพัฒนาขั้นตอนการเรียนรู้ด้วยตัวคอมพิวเตอร์เอง โดยไม่จำเป็นต้องให้มนุษย์มาคอยป้อนเงื่อนไขการเรียนรู้ให้ทุกครั้ง ทำให้ปัจจุบัน Artificial Intelligence (AI) เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้คอมพิวเตอร์ทำกิจกรรมหลายอย่างได้เหนือกว่ามนุษย์ และเชื่อได้ว่า AI จะเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารในบริการด้านการรักษาพยาบาลในระยะเวลาอีกไม่นานนักนับจากนี้ ตัวอย่างการพัฒนา AI เพื่อใช้ในการรักษาพยาบาล จนมีความถูกต้องแม่นยำไม่ต่างจากมนุษย์ แต่มีความรวดเร็วสูงกว่ามาก ได้แก่ การอ่านรูปภาพจอประสาทตา (retina) เพื่อวินิจฉัยพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นที่จอประสาทตา การอ่านผลชิ้นเนื้อจากการตัดชิ้นเนื้อก้อนที่เต้านม เพื่อหาว่ามีเซลล์มะเร็งหรือไม่ การอ่านภาพที่ถ่ายจากกล้องส่องทางเดินอาหาร (endoscope) เพื่อวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร และการใช้ AI แบบ real time พร้อมการส่องกล้องจริง เพื่อช่วย screen พื้นที่ต้องสงสัย เพื่อให้แพทย์ใช้เวลาดูพื้นที่นั้นเพิ่มขึ้น และการประมวลข้อมูลทั้งหมด เพื่อเตือนแพทย์ว่ามีพื้นที่ส่วนใดที่ยังไม่ได้ส่องกล้องดูบ้าง การใช้ AI ตรวจข้อมูลการบันทึกทางการพยาบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อประมวลผลและเตือนว่าผู้ป่วยมีโอกาสตกเตียงสูง การใช้ AI ประมวลผลจากการสนทนาระหว่างจิตแพทย์กับผู้ป่วย เพื่อช่วยจิตแพทย์ในการสรุปว่าผู้ป่วยมีปัญหาทางจิตหรือไม่ และในด้านใด การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก AI น่าจะต้องใช้เวลาพัฒนาอีกช่วงหนึ่งกว่าจะใช้งานได้จริง ภายใต้ราคาที่จ่ายได้ แต่ถ้าทุกอย่างลงตัว การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าบุคลากรทางการแพทย์ไม่ได้มีการเรียนรู้และเตรียมตัวไว้บ้าง เราก็อาจจะถูกเทคโนโลยีใหม่ๆ ผลักออกจากบริการด้านการรักษาพยาบาลอย่างไม่ทันตั้งตัว ในขณะเดียวกัน การใช้ AI อย่างสุดขั้ว ก็อาจเป็นการทำลายองค์ความรู้ที่สั่งสมมาในบุคลากรทางการแพทย์อย่างเนิ่นนาน และกลายเป็นว่าโรงพยาบาลต้องพึ่ง...
การวินิจฉัยโรคผิดพลาด
แหล่งข้อมูลหลักที่จะช่วยในการค้นหาและทบทวนเรื่องการวินิจฉัยโรคผิดพลาดในโรงพยาบาล ได้แก่ บันทึกการวินิจฉัยในเวชระเบียน เรื่องร้องเรียน/ เรื่องที่มีการฟ้องร้อง และผลการตรวจเอกซเรย์/ ผลการอ่านชิ้นเนื้อ การทบทวนควรทำโดยทีมงานที่มีผู้ที่มีความชำนาญในสาขานั้นๆ ร่วมด้วย โดยยึดหลักการว่าทำการทบทวนเพื่อการเรียนรู้และพัฒนากระบวนงานให้ดีขึ้น ไม่ได้มุ่งหาผู้ผิด เวลาเข้าเยี่ยมโรงพยาบาล สิ่งที่ผู้เยี่ยมสำรวจของ สรพ. มักจะใช้เป็นต้นทางในการตามรอยเรื่องการวินิจฉัยโรคผิดพลาด คือ จำนวนการเกิด missed/ wrong/ delayed diagnosis ที่ ER และ OPD ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ก็จะดูการทบทวนของโรงพยาบาลว่า นำไปสู่การที่จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ถูกต้องแม่นยำขึ้นจริงหรือไม่ ถ้าไม่น่าจะใช่ ก็จะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกัน กลุ่มโรคที่มักจะมีรายงาน missed/ wrong/ delayed diagnosis ได้แก่ ไส้ติ่งอักเสบ ตั้งครรภ์นอกมดลูก โรคกล้ามเนื้อหัวใจวายเฉียบพลัน และม้ามแตก นอกจากนี้ การสื่อสารระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคของผู้ป่วยก็เป็นปัญหาสำคัญ จากการสำรวจประสบการณ์ของผู้ป่วยพบว่า ข้อขัดข้องใจลำดับต้นๆ ของผู้ป่วย คือ การไม่ได้รับคำอธิบายที่เพียงพอถึงโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ และแผนการรักษาพยาบาล สรุปแนวทางในการลดข้อผิดพลาดในการวินิจฉัยโรค คือ ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ป่วย และครอบครัว ในทุกขั้นตอนของกระบวนงานเพื่อการวินิจฉัยโรค เพิ่มพูนความรู้ของบุคลากรทางการแพทย์ในเรื่องการวินิจฉัยโรคที่ทันยุคทันสมัย พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยโรค ออกแบบเกณฑ์การจ่ายเงินและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ช่วยเกื้อหนุนกระบวนงานวินิจฉัยโรคที่เป็นไปตามหลักวิชาการ ส่งเสริมการรายงานข้อผิดพลาด เพื่อนำมาทบทวน เรียนรู้ และนำสู่การพัฒนากระบวนงาน Photo by...
การวินิจฉัยโรคผิดพลาด
ในมาตรฐานฉบับใหม่ในหัวข้อ “การวินิจฉัยโรค” ได้มีการกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ดังนี้ “มีการกำหนดเรื่องการลดข้อผิดพลาดในการวินิจฉัยโรคเป็นเป้าหมายความปลอดภัยผู้ป่วย โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเข้ม มีการปรับปรุงและติดตามผลต่อเนื่อง” การวินิจฉัยโรคผิดพลาดหมายถึง ความล้มเหลวที่จะได้มาซึ่งคำอธิบายที่ถูกต้องแม่นยำ ครบถ้วนสมบูรณ์ ภายในเวลาที่เหมาะสม สำหรับปัญหาสุขภาพที่ผู้ป่วยเผชิญอยู่ และรวมไปถึงความล้มเหลวในการสื่อสารคำอธิบายนี้ให้ผู้ป่วยได้เข้าใจด้วย การวินิจฉัยโรคผิดพลาดมีได้ทั้งในลักษณะ missed (ไม่สามารถวินิจฉัยได้ ทั้งที่มีข้อมูลเพียงพอที่ควรจะวินิจฉัยได้), wrong (วินิจฉัยผิดไปจากโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่), และ delayed (วินิจฉัยได้ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น) มีการศึกษาในต่างประเทศที่แสดงว่า เราทุกคนมีโอกาสพบกับการวินิจฉัยผิดพลาดอย่างน้อยครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตของเรา, 5% ของผู้ป่วยนอกจะเกิดการวินิจฉัยผิดพลาด, 7 – 17% ของเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในกลุ่มผู้ป่วยในมีความเชื่อมโยงกับการวินิจฉัยผิดพลาด และ 29% ของการเรียกร้องค่าเสียหายจากการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานมีสาเหตุมาจากการวินิจฉัยผิดพลาด สาเหตุที่ก่อให้เกิดการวินิจฉัยโรคผิดพลาดจำแนกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก คือ สาเหตุจากผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยรายนี้มีอาการและอาการแสดงของโรคแตกต่างไปจากผู้ป่วยทั่วไป ผู้ป่วยปกปิดข้อมูลหรือให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน สาเหตุจากระบบงานของโรงพยาบาล เช่น การสื่อสารที่คลาดเคลื่อน การประสานงานที่ไม่ดี เครื่องมือหรือน้ำยาที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน สาเหตุจากข้อจำกัดด้านความรู้ความสามารถของบุคลากร เช่น ความรู้ที่ไม่ทันยุคสมัย ความจำที่คลาดเคลื่อนไปจากทฤษฎี การคิดที่ไม่เป็นระบบ การเก็บรวบรวมข้อมูลที่ไม่เพียงพอต่อการวินิจฉัยโรค สาเหตุข้อ 3. เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด Photo by Ani Kolleshi on Unsplash    
การประเมินผู้ป่วย และการอธิบายผลการตรวจวินิจฉัยโรคแก่ผู้ป่วย
ในมาตรฐานฉบับใหม่ในเรื่องการประเมินผู้ป่วย มีการเพิ่มเติมในประเด็น - ควรมีการประเมินความชอบส่วนบุคคล ทั้งนี้ เพื่อให้ทีมงานสามารถจัดบริการได้อย่างสอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วย การตอบสนองความชอบส่วนบุคคลมักจะทำให้ผู้ป่วยผ่อนคลายกับบรรยากาศที่ต้องมาอยู่ในโรงพยาบาลมากขึ้น ตัวอย่างความชอบส่วนบุคคล เช่น การเรียกคำแทนตัวผู้ป่วย เสื้อผ้า อาหารเครื่องดื่ม มื้ออาหาร การให้คนเข้าเยี่ยม แต่เรื่องนี้ ไม่ได้คาดหวังว่าโรงพยาบาลจะต้องไปสร้างแบบฟอร์มใหม่ ให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่ในการกรอกข้อมูล แต่มุ่งหวังให้เจ้าหน้าที่มีความไวมากขึ้นในการรับรู้ความต้องการของผู้ป่วย - การให้ความสำคัญกับการลดความผิดพลาด/ ความล่าช้า ในการวินิจฉัยโรค เนื่องจากประเด็นนี้กระทบต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย และยังเป็นปัญหาสำคัญของโรงพยาบาล คลินิก และงานบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยควรมีการทบทวนเหตุการณ์ความผิดพลาด/ ความล่าช้า ในการวินิจฉัยโรค โดยทีมงานที่ประเมินผู้ป่วยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาโอกาสในการพัฒนากระบวนการประเมินผู้ป่วยให้มีความถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็วมากขึ้น ในบท การประเมินผู้ป่วย หัวข้อ การส่งตรวจเพื่อการวินิจฉัยโรค ข้อ 4. ได้กำหนดว่า “มีการอธิบายผลการตรวจเพื่อการวินิจฉัยโรคแก่ผู้ป่วย. มีการพิจารณาการส่งตรวจเพิ่มเติมเมื่อพบว่าผลการตรวจมีความผิดปกติ” การอธิบายผลการตรวจเพื่อการวินิจฉัยโรคแก่ผู้ป่วยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสื่อสารที่ทำให้ผู้ป่วยรับรู้ว่า ผลการตรวจไม่ว่าจะปกติหรือผิดปกติ มีความหมายว่าอย่างไร สอดคล้องกับประวัติผู้ป่วยและผลการตรวจร่างกายหรือไม่ และจะต้องมีการตรวจเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ทั้งนี้ ข้อความในมาตรฐานกำหนดขึ้นบนฐานความเชื่อที่ว่า การประเมินความต้องการและปัญหาสุขภาพอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเหมาะสม ต้องการการมีส่วนร่วมรับรู้และตัดสินใจจากผู้ป่วยและญาติ ตัวอย่างเช่น เมื่อผลการตรวจเอกซเรย์ปอดหญิงอายุ 80 ปี พบก้อนที่ปอดข้างซ้ายขนาดประมาณ 4 เซนติเมตร ซึ่งโตขึ้นกว่าผลเอกซเรย์ปอดปีก่อนประมาณ 1 เซนติเมตร...
Identification Error
การระบุตัวผู้ป่วยผิดพลาดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ในประเทศไทยก็มีการเกิดเหตุการณ์นี้อยู่เป็นระยะ การระบุตัวผู้ป่วยผิดพลาดรวมถึงการระบุสิ่งส่งตรวจจากตัวผู้ป่วยและชิ้นเนื้อที่ผิดพลาดด้วย ความผิดพลาดนี้นำมาสู่การวินิจฉัย การให้ยา และการให้การรักษาที่ผิดพลาด การป้องกัน identification error ที่อ้างอิงจากหนังสือ patient Safety Goals : SIMPLE  version 2008 และมีการปรับปรุงเพิ่มเติม มีดังนี้ ใช้ตัวบ่งชี้อย่างน้อย 2 ตัว (เช่น ชื่อ-นามสกุล, และวันเกิด) เพื่อยืนยันตัวบุคคลในทุกจุดที่มีการส่งมอบผู้ป่วยให้จุดบริการถัดไปหรือจำหน่ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล กำหนดให้วิธีการบ่งชี้ผู้ป่วยเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งองค์กร เช่น ใช้ป้ายข้อมือสีขาวซึ่งมีรูปแบบมาตรฐานที่สามารถเขียนข้อมูลเฉพาะลงไปได้ หรือใช้ biometric technology หรือใช้ระบบ barcode ไม่ถามนำ เช่น ชื่อ “สมศักดิ์” ใช่ไหมคะ แต่ให้ผู้ป่วยระบุชื่อ-นามสกุลด้วยตนเอง จัดให้มีวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนในการบ่งชี้ผู้ป่วยซึ่งไม่มีตัวบ่งชี้และเพื่อแยกแยะผู้ป่วยที่มีชื่อซ้ำกัน รวมทั้งแนวทางการบ่งชี้ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัวหรือสับสนที่ไม่ใช้การซักถาม ทำความเข้าใจกับผู้ป่วยและญาติว่าทำไมต้องถามชื่อซ้ำในทุกจุด และส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในทุกขั้นของของกระบวนการบ่งชี้ผู้ป่วย เขียนฉลากที่ภาชนะสำหรับใส่เลือดและสิ่งส่งตรวจอื่นๆ ต่อหน้าผู้ป่วย จัดให้มีวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนในการรักษา identity สิ่งส่งตรวจของผู้ป่วยตลอดกระบวนการตรวจวิเคราะห์ตั้งแต่ pre-analytical, analytical และ post-analytical process จัดให้มีวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนในการสอบถามเมื่อผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือการตรวจอื่นๆ ไม่สอดคล้องกับประวัติหรือสภาวะทางคลินิกของผู้ป่วย ตามรอยการปฏิบัติจริงที่หน้างานเป็นระยะ 10. ในกรณีที่เป็นการผ่าตัด ควรนำ Surgical...
การเข้าถึงและเข้ารับบริการ
ในมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับที่ 4 มีประเด็นใหม่ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเข้าถึงและเข้ารับบริการหลายประเด็น คือ - เน้นการคัดแยก (triage) ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีตามสภาพความเจ็บป่วย ในขณะเดียวกัน ก็เพื่อจำแนกกลุ่มผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อที่อาจจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคในโรงพยาบาลได้ แล้วแยกการดูแลออกไปตามขั้นตอนที่วางไว้ - กำหนดลักษณะของบริการหรือกิจกรรมที่ต้องมีการบันทึกความยินยอมจากผู้ป่วย (informed consent) ได้แก่ การทำผ่าตัดและหัตถการลุกล้ำ การระงับความรู้สึก การทำให้สงบระดับปานกลาง/ ลึกบริการที่มีความเสี่ยงสูง; การเข้าร่วมในงานวิจัยหรือทดลอง; การถ่ายภาพหรือกิจกรรมประชาสัมพันธ์ ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของ informed consent อยู่ที่การให้ข้อมูลที่เพียงพอแก่ผู้ป่วย ไม่ใช่การให้ผู้ป่วยเซ็นใบยินยอมโดยไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอ - เน้นการบ่งชี้ผู้ป่วยที่ถูกต้อง การระบุตัวผู้ป่วยผิดพลาดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ในประเทศไทยก็มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นระยะ การระบุตัวผู้ป่วยผิดพลาดรวมถึงการระบุสิ่งส่งตรวจจากตัวผู้ป่วยและชิ้นเนื้อที่ผิดพลาดด้วย ความผิดพลาดนี้นำไปสู่การวินิจฉัย การให้ยา และการให้การรักษาที่ผิดพลาด Photo by Marcelo Leal on Unsplash
ความร่วมมือกับชุมชนในการพัฒนาคุณภาพชีวิต
โรงพยาบาลอุบลรัตน์เป็นโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งที่มีความโดดเด่นมากในงานด้านสร้างเสริมสุขภาพและการทำงานกับชุมชน โดยโรงพยาบาลอุบลรัตน์สามารถสร้างให้ชุมชนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของโรงพยาบาล เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงพยาบาล และใช้บริการของโรงพยาบาลด้วยความมั่นใจในคุณภาพบริการ จนเกิดเป็นเครือข่ายสังฆะ-ประชา-รัฐ ที่ทรงพลัง ตัวอย่างของการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลที่เกิดจากความร่วมมือของชุมชน ได้แก่ การได้รับความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการสนับสนุนทุนให้คนในพื้นที่ไปเรียนพยาบาลตั้งแต่ปี 2554 จนในปัจจุบันมีพยาบาลจบกลับมาทำงานในพื้นที่ประมาณ 30 คน การได้รับทุนสนับสนุนการสร้างตึกสงฆ์อาพาธจากภาคธุรกิจ สนับสนุนการตกแต่งภายในอาคารจากเจ้าคณะอำเภอ และเปิดให้คนอุบลรัตน์เป็นสมาชิกประกันสุขภาพคนละ 1,000 บาทต่อปี (เพื่อให้มีสิทธิในการพักรักษาตัวในห้องพิเศษโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) เพื่อนำเงินค่าสมาชิกมาเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยและอาคารสถานที่ การประสานกับภาคธุรกิจเพื่อให้บริษัทที่ต้องมีการจ้างผู้พิการตามที่กฎหมายกำหนด จ้างงานผู้พิการ แล้วมอบหมายให้ผู้พิการเหล่านี้มาทำงานในโรงพยาบาลอุบลรัตน์และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในอำเภออุบลรัตน์ โดยโรงพยาบาลมอบหมายงานที่เหมาะสมกับศักยภาพของผู้พิการแต่ละราย ส่งผลให้โรงพยาบาลมีกำลังคนเพิ่ม และผู้พิการก็ได้รับการยอมรับในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การสร้างกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกผักปลอดสารพิษและทำไร่นาสวนผสม โดยนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาสู่การปฏิบัติ แล้วนำพืชผักเหล่านี้มาจำหน่ายในโรงพยาบาล และใช้ในโรงครัวของโรงพยาบาล Photo by Larm Rmah on Unsplash  
การพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยในระบบบริการสุขภาพได้ก้าวมายาวไกล แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาด้วยผู้คนที่อยู่ในวิชาชีพด้านสุขภาพ ทำให้พบข้อจำกัดบางอย่างที่ยังไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ดังนั้น ด้วยความเชื่อที่ว่าถ้าให้ผู้ป่วยและญาติเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพมากขึ้น มองเขาเหล่านั้นไม่ใช่เพียงผู้มารับบริการ แต่เป็นพันธมิตรในการร่วมพัฒนา การพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยในระบบบริการสุขภาพก็น่าจะประสบความสำเร็จมากขึ้น สรพ. ได้ริเริ่มทดลองใช้เครื่องมือตลอดจนดำเนินโครงการที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยในการพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยในระบบบริการสุขภาพ ดังนี้ การสร้าง application ที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถสะท้อนความรู้สึกและความคิดเห็นที่มีต่อบริการที่ตนได้รับ (Patient Experience Survey) เพื่อเป็นข้อมูลให้โรงพยาบาลนำไปปรับปรุงคุณภาพบริการ การกรอกข้อมูล ผู้ป่วยสามารถ scan QR Code ที่ติดอยู่ตามโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 163 แห่ง การให้ผู้ป่วยเข้ามาร่วมประเมินผลลัพธ์การรักษาพยาบาลในมุมมองของผู้ป่วย (Patient-Reported Outcome Measures) โดยสรพ.ร่วมกับ สปสช. เขต 1 ได้ทดลองโครงการนำร่องในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าในโรงพยาบาลแพร่ ลำพูน และลำปาง การเสริมสร้างความตระหนักของผู้ป่วย ในประเด็นสำคัญที่ผู้ป่วยและแพทย์ควรมีการสื่อสารกัน ผ่านบัตรเตือนใจ “อย่าลืมบอกหมอ” และ “อย่าลืมถามหมอ” การจัดตั้งกลุ่มผู้ป่วยเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย (Patients for Patient Safety) โดยการสนับสนุนทางวิชาการจากองค์การอนามัยโลก โดยกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบและให้ข้อคิดเห็นต่อกิจกรรมและสื่อต่างๆของ สรพ. ที่มีเป้าหมายเพื่อการสื่อสารกับประชาชน Photo by Matheus Ferrero on Unsplash    
การรับมือโรคระบาด
ในการประชุม Prince Mahidol Award Conference ปี 2018 ตัวแทนจากกรมควบคุมโรคของประเทศไทยได้เล่าประสบการณ์ในการรับมือกับ MERS เมื่อปี 2559 ว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการควบคุมไม่ให้มีการแพร่ระบาดของ MERS ในประเทศไทย โดยผู้ป่วยที่เกิดขึ้นทั้งหมด 3 ราย เป็นผู้ป่วยที่เดินทางมาจากตะวันออกกลางทั้ง 3 ราย มาด้วยอาการหายใจเหนื่อย มี 2 รายเป็นผู้สูงอายุ ส่วนอีกหนึ่งรายเป็นวัยรุ่น ความสำเร็จในการควบคุมโรคนี้เกิดขึ้นจากการเตรียมรับมือกับโรค MERS เป็นอย่างดี โดยมีการศึกษาถอดบทเรียนจากการแพร่ระบาดของ MERS ในเกาหลีใต้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม จากการเฝ้าระวังการแพร่ระบาด ทำให้มีผู้สัมผัสโรคใกล้ชิดที่ต้องถูกกักแยกหรือให้นอนโรงพยาบาลจำนวนถึง 148 ราย และในจำนวน 148 รายนี้ เป็นบุคลากรของโรงพยาบาลถึง 53 ราย บทเรียนจากการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคระบาดร้ายแรงทั่วโลก ได้ข้อสรุปที่สำคัญ ดังนี้ ข้อมูลการเฝ้าระวังโรคมีความสำคัญมากต่อการรับรู้การแพร่กระจายของโรคตั้งแต่ก่อนที่โรคจะกระจายไปมาก ต้องมีการสร้างความรู้และความเข้าใจในโรคที่ระบาด ทั้งในหมู่บุคลากรการแพทย์ และสังคมโดยรวม ทีมงานดูแลผู้ป่วยต้องมีความแม่นยำในกระบวนการดูแลรักษา ที่ตั้งอยู่บนฐานความรู้ทางวิชาการที่เป็นปัจจุบัน ต้องมีการเตรียมพร้อมของทรัพยากรทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรค มีการวางระบบงานรองรับ และมีการฝึกซ้อมทีมงานจนมีความชำนาญในขั้นตอนการตอบสนองต่อการระบาด มีศูนย์สั่งการที่กำหนดมาตรการตอบสนองที่รวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง Photo by Headway on...
ข้อพึงระวังในการสั่งใช้ยาต่อเนื่องในระยะยาว
ในปีพ.ศ. 2560 มีรายงานผู้ป่วย rheumatoid arthritis จำนวนหนึ่งที่ได้รับยา chloroquine ต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานหลายปี แล้วเกิดผลข้างเคียงคือ maculopathy จนถึงระดับ blindness ซึ่งพยาธิสภาพยังคงดำเนินไปต่อเนื่องแม้จะหยุดยาไปแล้ว ซึ่งผลข้างเคียงจากการให้ยาในระยะยาว ยังเกิดขึ้นได้กับยาตัวอื่นๆอีกหลายตัว เช่น เช่น warfarin, Dilantin ในทางปฏิบัติ มีโอกาสที่แพทย์จะสั่งใช้ยาต่อเนื่องในระยะยาว โดยไม่ทันได้นึกถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เพราะคิดว่าได้สั่งยาในขนาดเดิมที่ผู้ป่วยเคยได้รับอยู่ และที่ผ่านมาผู้ป่วยก็ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แนวทางที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้ยาต่อเนื่องในระยะยาว ได้แก่ ผู้บริหารโรงพยาบาลควรวางระบบการสั่งจ่ายยาโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Computerized Prescriber Order Entry – CPOE) ให้มีฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน มีการแจ้งเตือนผลข้างเคียงสำคัญของยาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และปฏิกิริยาระหว่างยาที่สั่งใช้ แพทย์ผู้สั่งยาควรมีการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับยาที่ตนสั่งจ่าย ทั้งในเรื่องขนาดยาที่ปลอดภัย ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ปฏิกิริยากับยาตัวอื่นหรืออาหารที่รับประทาน และขนาดยาที่ต้องปรับให้เหมาะสมเมื่อการทำงานของตับหรือไตเสื่อมลง แพทย์ผู้สั่งยาควรมีการทบทวนข้อบ่งชี้การใช้ยา และขนาดของยาที่มีการสั่งใช้มานาน เป็นระยะๆ และตรวจสอบเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยมีการให้ความรู้กับผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยเข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนด้วย ทีมระบบยาควรมีการสุ่มทบทวนการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในยากลุ่มที่มีการสั่งใช้มาต่อเนื่องยาวนาน Photo by Sharon McCutcheon on Unsplash
- Advertisement -

MOST POPULAR

HOT NEWS