Poster
การลดระยะเวลารอคอบพบแพทย์ของผู้ป่วย ESI Level 3 ที่เข้ารับบริการที่ห้องตรวจ Urgent Care
administrator -0
พิธีกร
การนำแนวคิด lean มาพัฒนาระบบการคัดกรอง เพื่อเป็นการลดระยะเวลาการรอคอยพบแพทย์ผู้ป่วย ESI Level 3 ที่เข้ารับบริการที่ห้องตรวจ Urgent Care โครงการนี้มีการพัฒนาอย่างไรและบทเรียนที่ได้รับมีอะไรบ้าง เราไปพูดคุยกับเจ้าของโครงการชิ้นนี้กันเลยครับ
พิธีกร
สวัสดีครับ โครงการลดระยะเวลาในการรอคอยพบแพทย์ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เป็นของขวัญของผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยด้วย เป้าหมายของโครงการนี้เป็นอย่างไรครับอาจารย์
พว.กมลพร สิริคุตจตุพร
เป้าหมายคือเพิ่มจำนวนผู้ป่วย ESI Level 3 ให้ได้รับการพบแพทย์ภายใน 60 นาที
พิธีกร
เพราะฉะนั่นหมายถึงโครงการนี้ก็ได้กำหนดระยะเวลาแล้วว่าผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาหรือได้พบแพทย์ภายใน 60 นาที ก่อนหน้านี้เราพบเจอปัญหาอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่เราปล่อยไม่ได้ล่ะ เราจะต้องมีการทำโครงการนี้เพื่อมาแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนแล้ว
พว.กมลพร สิริคุตจตุพร
คนไข้ปริมาณมากที่มารับบริการที่คลินิกนอกเวลาใช่ป่ะคะ ระยะเวลาในการรอคอยนานมาก แต่ประเภทของคนไข้ไม่เหมือนกัน คนไข้ที่เราตรวจที่ OPD ก็จะแบ่งเป็นเออเจน เซมิชเออเจน และก็นอลเออเจน มี 3 ประเภท แต่ว่าคนไข้ที่มีภาวะคงทีเนี้ยคะรอตรวจอยู่กับคนไข้เซมิชเออเจนและนอลเออเจนทำให้คนไข้ประเภทเนี้ยรอตรวจมีอาการเปลี่ยนแปลง อาการแย่ลงนะคะระหว่างที่รอตรวจ ระยะเวลาในการรอตรวจบางคนนานถึง 3 ชั่วโมงซึ่งค่าเฉลี่ยที่เราเก็บเนี้ย คือ รอตรวจนานถึง 2 ชั่วโมงกับ 2 นาที่
พิธีกร
ขั้นตอนกิจกรรมในการที่เราดำเนินการมีขั้นตอนยังไงบ้างครับ
พว.กมลพร สิริคุตจตุพร
เราก็ลงไปหาสาเหตุว่าทำไม่คนไข้ประเภทเนี้ยถึงรอตรวจนาน ซึ่งเราพบว่าเมื่อก่อนนี้แบบฟอร์มใบคัดกรองมีหลายแบบมาก และไม่มีการระบุ ESI Level เราก็เลยทำใบคัดกรองขึ้นมาใหม่มีการระบุ ESI Level อย่างชัดเจนทำให้เราทราบว่าคนไข้คนนี้คะอยู่ใน ESI Level ไหน...
พิธีกร
ยิงให้ตรงเป้า แทงเข้ากลางใจ ของ รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมการแพทย์ทหารเรือ รพ.นี้มีวิธีการรักษาอย่างไร เราไปรับชมผลงานชิ้นนี้กันเลยครับ
พิธีกร
สวัสดีครับ ยิงให้ตรงเป้า แทงเข้ากลางใจ เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่อ่านแค่ชื่อก็น่าสนใจแล้ว ก่อนหน้านี้ที่เราจะมาดูที่มาที่ไปว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น ผมอยากจะขออนุญาตสอบถามถึงเป้าหมายของนวัตกรรมชิ้นนี้ แล้วก็ตัวชี้วัดความสำเร็จของเรามีอะไรบ้างครับ
น.อ.เถลิงเกียรติ แจ่มอุลิตรัตน์
เป้าหมายของ PIN GAD ต้องบอกก่อนว่า ย่อมาจากอะไร PIN GAD ย่อมาจากปิ่นเกล้า PINklao Guiding Assited Device นะครับ สืบเนื่องมาจากเรามีโรคมะเร็งตับ ซึ่งแต่ก่อนเนี้ย โรคมะเร็งตับทำการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด หลังจากนั่นก็มีการพัฒนามาเป็นการเผาทำลายด้วยคลื่นความร้อนซึ่งดั่งเดิมเนี้ยการเผาทำลายด้วยคลื่นความร้อนเนี้ยก็จะมีการใช้อุปกรณ์นำทางโดยการใช้เครื่องอัลตราซาวน์ ใช้เครื่อง CT scan ในการนำทาง แต่เนื่องจากการทำงานโดยใช้เครื่องมือเหล่านี้เนี้ยมันก็มีข้อจำกัดของมัน แล้วก็การทำงานโดยใช้เครื่องมือเหล่านี้ทำงานร่วมกับแพทย์เองเนี้ยมันมีข้อจำกัด ทีนี้ PIN GAD ก็คือเป็นนวัตกรรมที่มาทำการแก้ไขข้อจำกัดเหล่านั้นในการทำงานเผาทำร้ายก้อนมะเร็งตับ
พิธีกร
อุปกรณ์ตัวนี้ช่วยในเรื่องไหนบ้างครับ
น.อ.เถลิงเกียรติ แจ่มอุลิตรัตน์
1.เลยหลักๆ เนี้ยจะช่วยในเรื่องของความแม่นยำในระนาบแกน Y และแกน Z นะครับ ซึ่งโดยปกติระนาบเหล่านี้เนี้ยจะถูกกำหนดโดยมนุษย์ ซึ่งก็คือแพทย์เนี้ยล่ะ แล้วก็โดยนักรังสีเทคนิคจะช่วยกันในการทำงาน เมื่อมีตัวนี้ขึ้นมาเนี้ย มันก็จะบ่งบอกองศาของเราโดยเราประยุกต์ใช้อุปกรณ์ทางการช่าง ไม่ว่าจะเป็นทางการช่าง
อุตสาหกรรมหรือช่างโยธา หรือว่าทางเอ็นจิเนียริ่งต่างๆ เข้ามาช่วย โดยเราพัฒนามาจากรูปแบบของเมืองนอกเนี้ยเค้าไปไกลขนาดเป็นเรื่องของการนำระบบหุ่นยนต์เข้ามาใช้แล้ว แต่เราก็ไปศึกษารีวิวดูวิจัยทั้งหมดว่าข้อเด่นของหุ่นยนต์แต่ละตัวคืออะไรบ้าง แล้วเราก็เกาะระบบออกมาแล้วก็ดูว่าตัวนี้คืออันนี้ ตัวนี้คืออันนี้แล้วก็เอามากลายเป็น 4in1...
พิธีกร
ศูนย์บริหารจัดการรถพยาบาล Ambulance Operation Center 2P safety:ผู้ป่วยปลอดภัย เจ้าหน้าที่ปลอดภัย อุบัติเหตุรถพยาบาลเป็นศูนย์ ของ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย ผลงานชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์และวิธีดำเนินการอย่างไร ผลที่คาดว่าจะได้รับเป็นอย่างไรบ้าง เราไปชมผลงานชิ้นนี้กันเลยครับ
พิธีกร
สวัสดีครับ อาจารย์ครับ คุณผู้ชมครับอย่างที่เราได้รับชมในข่าวกันว่ารถช่วยเหลือหรือว่ารถกู้ภัยต่างๆ รวมถึง Ambulance ของ รพ.ไปช่วยชีพ ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุซ้ำด้วย รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์เองก็มีผลงานโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อที่จะพัฒนาต่อยอด รวมถึงเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการ รวมถึงผู้ให้บริการด้วย เป้าหมายของผลงานชิ้นนี้เป็นอย่างไรครับอาจารย์
นพ.เกรียงศักดิ์ ปินตาธรรม
เป้าหมายก็ตามนโยบายของกระทรวงแล้วก็นโยบายของ สรพ.เองที่ต้องการให้อุบัติเหตุของรถพยาบาลเป็นศูนย์ ส่งผลทำให้เกิดเรียกว่า 2P safetyมีอะไรบ้างก็คือ ผู้ป่วยปลอดภัย เจ้าหน้าที่ปลอดภัย ทั้ง 2 ส่วนเนี้ยครับก็คือไม่ให้เกิดเลย
พิธีกร
แล้วในส่วนเนี้ยครับก่อนหน้านี้เกิดปัญหาอะไรขึ้น ถึงทำให้เราคิดว่าเราต้องการจัดการปัญหานี้โดยการสร้างผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาครับ
นพ.เกรียงศักดิ์ ปินตาธรรม
ครับก็เหมือนกับที่ปรากฏเป็นข่าวทั่วประเทศนะครับ ว่ามีรถพยาบาลเกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง เราก็มาวิเคราะห์หาสาเหตุว่าการที่รถพยาบาล 1 คันจะเกิดอุบัติเหตุได้เนี้ย เกิดจากอะไรบ้าง มันก็มีมาตรการหลายๆ มาตรการ หนึ่งที่เราคิดขึ้นมาได้ก็คือ ความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุของรถพยาบาลเลย ก็คือ 1.คือความเร็วที่ใช้ความเร็วเกิน เราก็มีนโยบายว่า เราควรจะต้องจำกัดความเร็วของรถพยาบาล หรือว่าต้องให้รถพยาบาลเนี้ยขับขี่อย่างปลอดภัย มีกล้องในการมองเห็นพนักงานขับรถ ระยะทาง เส้นทางว่าเป็นยังไงนะครับ อันนี้คือในส่วนของความปลอดภัยของตัวรถพยาบาล อันที่ 2. คือความปลอดภัยของผู้ป่วย...
การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเป็นหัตถการที่ทำบ่อยมากในโรงพยาบาล และยังพบอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์อยู่เนืองๆ ชมรมเครือข่ายผู้ให้สารน้ำแห่งประเทศไทยจึงได้จัดทำแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำขึ้น เพื่อเป็นแนวทางที่ช่วยให้พยาบาลสามารถให้บริการผู้ป่วยได้อย่างมีคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัย
ภาวะแทรกซ้อนจากการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำพบได้หลายลักษณะ ตัวอย่างเช่น phlebitis, vascular access device related infection, infiltration/ extravasation, hematoma/ hemorrhage, embolism, drug incompatibility
แนวทางสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เมื่อมีการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ คือ
เตรียมเข็มที่จะแทง อุปกรณ์ที่ต้องใช้ และเลือกตำแหน่งที่จะแทงหลอดเลือดดำ ให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการแทงบริเวณใกล้ข้อ เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวบ่อย และอาจเกิดการบาดเจ็บของเส้นประสาท
ทำความสะอาดผิวหนังในขนาดความกว้างไม่น้อยกว่าที่จะติดแผ่นฟิล์มใสปลอดเชื้อ ด้วย 70% alcohol หรือ tincture of iodine หรือ 5% chlorhexidine in alcohol (chlorhexidine in alcohol ไม่ควรใช้ในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 เดือน)
สื่อสารผู้ป่วย/ ญาติ/ ผู้ดูแล ให้เข้าใจเหตุผลความจำเป็นและขั้นตอนการแทงสาย เตรียมชุดให้สารน้ำ ตรวจสอบตัวยาที่จะให้ว่าไม่มีปฏิกิริยาต่อกัน ตรวจสอบลักษณะของสารน้ำว่าไม่มีลักษณะผิดปกติ เคร่งครัดในเรื่องความสะอาดและเทคนิคปลอดเชื้อ
ดูแลบริเวณตำแหน่งที่ให้สารน้ำ และประเมินผิวหนังบริเวณที่แทงเข็ม เพื่อเฝ้าระวังอาการแดง...
ในการประชุม HA National Forum ครั้งที่ 20 กลุ่มสถาปนิกอาสาและวิศวกรใจดีได้ทำนายภาพของโรงพยาบาลในอนาคตไว้ ซึ่งหลายประเด็นเป็นเรื่องที่น่าสนใจและถ้าทีมงานของโรงพยาบาลได้เรียนรู้และเริ่มเตรียมการไว้ตั้งแต่วันนี้ ก็น่าจะช่วยให้โรงพยาบาลพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ดีขึ้น ประเด็นที่สำคัญ ได้แก่
จากการที่สังคมไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในอีก 3 ปีข้างหน้า การเจ็บป่วยบ่อยของผู้สูงอายุจะทำให้โรงพยาบาลเป็นศูนย์กลางของชุมชนมากขึ้น โรงพยาบาลจึงควรเตรียมพื้นที่สำหรับชุมชนรวมถึงอาสาสมัคร ที่ร่มรื่น เอื้อต่อการเยียวยา และเอื้อต่อกิจกรรมทางสังคม
แผนกผู้ป่วยนอกจะมีขนาดเล็กลง เทคโนโลยีสารสนเทศที่เข้ามาจะทำให้เกิดการกระจายตัวของจุดตรวจให้บริการผู้ป่วยไปอยู่นอกโรงพยาบาล และเสริมกระบวนการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน
จะเกิดการขยายตัวของสถานพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งจะมีมาตรฐานการให้บริการต่างไปจากมาตรฐานโรงพยาบาลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
โรงพยาบาลจะเป็นอาคารสูงมากขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากที่ดินได้อย่างคุ้มค่า ระบบสัญจรแนวตั้ง การใช้พลังงาน การควบคุมการติดเชื้อ และระบบ logistics ที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัย จะเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารทรัพยากรของโรงพยาบาล
เครื่องมือทางการแพทย์หลายชนิดในอนาคตจะมีน้ำหนักมาก ต้องการโครงสร้างอาคารที่สามารถรับน้ำหนักได้มาก และอาจมีคลื่นหรือรังสีที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้คนได้ อาคารในอนาคตจึงควรมีพื้นที่ประมาณ 10% ที่อยู่ริมสุดของอาคารที่ออกแบบมาให้รองรับน้ำหนักได้มากกว่าปกติ 3 – 5 เท่า สามารถติดตั้งเครื่องมือทางการแพทย์ขนาดใหญ่ได้โดยการขนย้ายเข้าทางด้านข้างอาคาร ไม่ต้องใช้ลิฟต์ของอาคารซึ่งอาจรับน้ำหนักไม่ไหว
โรงพยาบาลจะมีพื้นที่สีเขียวมากขึ้น เพื่อเอื้อต่อการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของบุคลากรทางการแพทย์ สวนลอยฟ้า (roof garden) และทางเชื่อมอาคารในลักษณะ sky walk เป็นตัวอย่างของโครงสร้างทางกายภาพที่จะเกิดมากขึ้น
Photo by Douglas Sanchez on Unsplash
เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการฟอกเลือด มาเรียนรู้ร่วมกันครับ
🌺ในช่วงกลางปี 2560 ในประเทศเวียดนาม เกิดเหตุการณ์ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือด 18 ราย โดยผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง และหายใจไม่ออก ผู้ป่วยเสียชีวิตไป 8 ราย
🌺หลังจากการสอบสวนหาสาเหตุของเหตุการณ์แล้ว มีผู้ถูกฟ้องร้อง 3 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัททำความสะอาดน้ำที่ใช้ฟอกเลือด เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่มีหน้าที่บำรุงรักษาเครื่องมือแพทย์ และแพทย์ผู้รับผิดชอบดูแลหน่วยฟอกเลือด
🌺เหตุการณ์เกิดขึ้นจากการที่เจ้าหน้าที่ของบริษัทดูแลและซ่อมบำรุงระบบน้ำ RO ใช้สารผสมระหว่าง hydrofluoric acid และ hydrochloric acid ในการทำความสะอาดแผ่นกรอง ซึ่งสารเคมีทั้งสองนี้ไม่อยู่ในรายการของสารเคมีที่ใช้กับเครื่อง และเมื่อทำความสะอาดแล้ว การล้างสารเคมีก็ทำไม่ดี จึงมีสารทั้งสองตกค้างจำนวนมากอยู่ในระบบน้ำของเครื่อง และเจ้าหน้าที่ผู้นั้นก็ละเลยที่จะนำน้ำไปตรวจตามขั้นตอนที่กำหนด
เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่มีหน้าที่กำกับดูแลบริษัทก็ปล่อยปละละเลย และปล่อยให้มีการใช้น้ำนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าน้ำนั้นยังไม่ได้มีการทดสอบตามขั้นตอน แพทย์ที่ถูกฟ้องซึ่งควรจะกำกับดูแลการทำงานในภาพรวมก็ไม่ได้ทำหน้าที่นั้นตามที่ควรจะเป็น
เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ควรมีการทบทวนขั้นตอนต่างๆ ในโรงพยาบาลในประเทศเรา เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นนี้
Photo by LuAnn Hunt on Unsplash
ในมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับที่ 4 ในบท “สิ่งแวดล้อมในการดูแลผู้ป่วย” ในข้อ II-3.1 ก.(1) กำหนดไว้ว่า “โครงสร้างอาคารสถานที่ขององค์กรเป็นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับ และข้อกำหนดในการตรวจสอบอาคารสถานที่” และในประกาศของ สรพ. เรื่อง ขั้นตอนการเยี่ยมสำรวจ และเอกสารที่ต้องจัดเตรียมเพื่อการเยี่ยมสำรวจขั้นที่ 3 พ.ศ. 2561 (ฉบับที่ 2) กำหนดไว้ว่า “สำหรับสถานพยาบาลเอกชน ขอให้แนบใบรับรองการก่อสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือเคลื่อนย้ายอาคาร (แบบ อ.6) หรือในอนุญาตเปลี่ยนการใช้อาคาร (แบบ อ.5) ทุกอาคารที่ให้บริการผู้ป่วย ตามที่กฎหมายกำหนด”
เหตุที่ต้องมีการกำหนดเรื่องการใช้อาคารไว้อย่างนั้น ก็เพื่อยืนยันความปลอดภัยของอาคารทั้งในแง่ของความแข็งแรงและปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร ตลอดจนการมีโครงสร้างอาคารที่เอื้อการต่อการระงับอัคคีภัยและการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและบุคลากรในภาวะเกิดอัคคีภัย
ในแง่ของกฎหมาย เมื่อโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งจะเปิดให้บริการประชาชน กฎกระทรวงที่กำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล พ.ศ. 2558 ข้อ 7 กำหนดว่า “โรงพยาบาลต้องได้รับอนุญาตเป็นอาคารสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร”
ในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในมาตรา 32 กำหนดว่า อาคารที่ใช้เป็นสถานพยาบาล ถือเป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้ ซึ่งต้องได้รับการอนุญาตใช้งานอาคารจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อน จึงจะสามารถใช้งานอาคารเหล่านั้นเป็นสถานพยาบาลได้
ในกฎหมายที่ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 คือ กฎกระทรวง ฉบับที่ 10...
ในมาตรฐานระบบสิ่งแวดล้อมในการดูแลผู้ป่วย ประเด็นที่มีการเพิ่มเติมเข้ามาใหม่ในมาตรฐานฉบับที่ 4 คือ “องค์กรจัดให้มีระบบสำรองสำหรับแก๊สที่ใช้ทางการแพทย์ โดยมีการบำรุงรักษา ทดสอบ และตรวจสอบที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ”
เพื่อทำความเข้าใจเบื้องต้น ขออธิบายศัพท์ที่ใช้ในเรื่องนี้ ดังนี้
- ชุดจ่ายแก๊ส (gas manifold) หมายถึง อุปกรณ์สำหรับต่อเชื่อมทางออกของท่อบรรจุแก๊สที่มากกว่าหนึ่งท่อเข้ากับศูนย์รวมของระบบจ่ายกลางของแก๊สชนิดหนึ่ง ชุดจ่ายแก๊สมักประกอบด้วยกลุ่มท่อบรรจุแก๊ส 2 กลุ่ม โดยที่ขณะที่ใช้งาน กลุ่มท่อบรรจุแก๊สกลุ่มที่หนึ่งจะเป็นกลุ่มหลักในการจ่ายแก๊ส กลุ่มที่สองจะสำรองพร้อมใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อกลุ่มท่อบรรจุแก๊สกลุ่มแรกที่ใช้งานอยู่แก๊สหมดลง พร้อมมีระบบแจ้งเตือนให้ผู้ดูแลรับผิดชอบทราบว่าระบบสำรองถูกใช้งานแล้ว โดยทั่วไป แหล่งจ่ายสำรองจะต้องมีความจุเพียงพอที่จะจ่ายแก๊สให้ระบบได้อย่างน้อย 1 วัน
- ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มักใช้ออกซิเจนเหลวเป็นแหล่งของระบบจ่ายออกซิเจนหลักของระบบจ่ายออกซิเจน และใช้ชุดจ่ายแก๊สอัตโนมัติในลักษณะกลุ่มของท่อบรรจุออกซิเจนเป็นระบบสำรองจ่ายในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
เหตุที่ต้องมีการเพิ่มเติมมาตรฐานข้อนี้เข้ามาก็เนื่องจากว่า เมื่อไปเยี่ยมสำรวจจะพบว่า บ่อยครั้งที่การบำรุงรักษาระบบสำรองออกซิเจนของโรงพยาบาลทำได้ไม่ดี ทำให้อุปกรณ์ที่เปลี่ยนไปใช้ระบบออกซิเจนสำรองไม่ทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อแหล่งออกซิเจนหลักหมดลง จึงใช้วิธีให้ช่างวิ่งไปเปลี่ยนเป็นระบบสำรอง ซึ่งมักกินเวลานาน ทำให้ผู้ป่วยที่ต้องการออกซิเจนตลอดเวลาอาจขาดออกซิเจนได้ นอกจากนี้จากความไม่เข้าใจของเจ้าหน้าที่ ทำให้ระบบสัญญาณเตือนที่ติดตั้งไว้ถูกปิดไป จากความรำคาญว่ามีเสียงสัญญาณเตือนบ่อยครั้ง ดังนั้น เมื่อระบบออกซิเจนสำรองถูกใช้งาน จึงไม่มีสัญญาณเตือน ส่งผลให้ระบบสำรองถูกใช้ไปเรื่อยๆ จนหมด แล้วเกิดความล้มเหลวของระบบการจ่ายออกซิเจนของทั้งโรงพยาบาลตามมา
Photo by chuttersnap on Unsplash
เวลาเขียนแบบประเมินตนเองของ สรพ. คำๆหนึ่งที่โรงพยาบาลมักจะไม่ค่อยเข้าใจว่าจะให้เขียนอธิบายว่าอย่างไร และโรงพยาบาลก็ไม่เคยนำคำๆนี้ไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนจริงๆ คือคำว่า core competency ขององค์กร
core competency ขององค์กร คือ กระบวนการหรือทักษะความเชี่ยวชาญสำคัญที่โรงพยาบาลมีอยู่ที่จะช่วยให้โรงพยาบาลสามารถทำงานได้ตามพันธกิจที่ตั้งไว้ ดังนั้น core competency จึงควรเป็นสิ่งที่โรงพยาบาลมีอยู่แล้ว หรือจะสามารถพัฒนาให้มีขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้ เพราะโรงพยาบาลต้องนำ core competency ไปใช้ในการขับเคลื่อนพันธกิจขององค์กร โดยทั่วไป core competency ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความโดดเด่นและสร้าง brand ให้กับโรงพยาบาลแห่งนั้น
บางครั้งโรงพยาบาลไปนำวิสัยทัศน์ที่มีการกำหนดมา มาเป็น core competency ขององค์กร เช่น วิสัยทัศน์กำหนดว่า จะเป็นศูนย์ดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุ ก็เลยมากำหนด core competency ของโรงพยาบาลว่าคือ ความเป็นเลิศด้านการดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุ แต่สภาพความเป็นจริง ทั้งอาคารสถานที่ เครื่องมือ บุคลากร และกระบวนการทำงาน ไม่มีส่วนไหนที่แสดงความเป็นเลิศได้เลย ความเป็นเลิศด้านการดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุจึงไม่ใช่ core competency ของโรงพยาบาลแห่งนี้
บ่อยครั้งที่โรงพยาบาลนำความเชี่ยวชาญพิเศษของแพทย์เฉพาะทางที่มีอยู่ 1 คน มาบรรยายเป็น core competency ของโรงพยาบาล ซึ่งอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ คำถามง่ายๆ ที่โรงพยาบาลควรถามตนเอง คือ...
ในอดีต การฝึกทักษะของบุคลากรทางการแพทย์มักเกิดขึ้นภายใต้การให้บริการจริง โดยก่อนที่จะมีการฝึกทักษะ ผู้ฝึกจะได้รับการปูพื้นฐานความรู้มาแล้วเป็นอย่างดี หลังจากนั้น จึงเข้าสู่กระบวนการฝึกทักษะโดยผ่านการสังเกตสถานการณ์จริง – การทดลองทำภายในห้องฝึกหรือใช้อุปกรณ์จำลอง – และการปฏิบัติจริงภายใต้การกำกับดูแล (see – try – act)
จากความก้าวหน้าในยุคปัจจุบัน การฝึกทักษะสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและปลอดภัยต่อผู้ป่วยมากขึ้น โดยการจำลองสถานการณ์เสมือนจริง (simulation) ในลักษณะต่างๆ เช่น
การใช้หุ่นที่มีลักษณะทางกายภาพที่ใกล้เคียงมนุษย์ เพื่อให้บุคลากรเข้าใจถึงโครงสร้างทางกายภาพของระบบต่างๆ ในร่างกายมนุษย์ และบางกรณี หุ่นนี้ยังสามารถแสดงผลของการฝึกว่าบุคลากรทำได้ถูกต้องเพียงไรด้วย เช่น หุ่นเพื่อการฝึกทำหัตถการต่างๆ หุ่นเพื่อการฝึกการประสานงานของทีมในกระบวนการดูแลผู้ป่วย เช่น การช่วยฟื้นคืนชีพ
การสร้าง application ที่ทำให้เกิดภาพตอบสนองที่เสมือนจริง เพื่อช่วยให้ผู้ฝึกเกิดทักษะในการทำหัตถการหรือการผ่าตัดโดยไม่ต้องไปทำบนตัวผู้ป่วยจริง ตัวอย่างเช่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อฝึกการใช้กล้องส่องทางเดินอาหาร โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อฝึกการผ่าตัดด้วยกล้อง
การเรียนรู้ทักษะการทำงานอย่างประสานสอดคล้องกัน โดยใช้การเรียนรู้ผ่านเกมส์ที่ประดิษฐ์ขึ้นมา (gamification)
การเรียนรู้จะมีประโยชน์มากขึ้น เมื่อมีการถ่ายวิดิโอเพื่อเก็บภาพเหตุการณ์ไว้ แล้วนำมาทบทวนอีกครั้งโดยเจ้าตัวหรือโดยผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้เพื่อช่วยพัฒนาให้การดำเนินงานทุกขั้นตอนถูกต้องตามหลักวิชาการ และผู้เกี่ยวข้องทุกส่วนมีปฏิสัมพันธ์ที่เอื้อต่อการสร้าวประสิทธิภาพที่สูงสุดของกระบวนงาน
ในแง่ของการทบทวนเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้น การจำลองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งให้ใกล้เคียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แล้วบันทึกภาพของสถานการณ์ที่จำลองขึ้นมา จะช่วยให้เข้าใจลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้มากขึ้น เห็นภาพของบทบาทเจ้าหน้าที่แต่ละคนที่มีในขั้นตอนแต่ละขั้น และสังเกตเห็นพฤติกรรมบริการที่เบี่ยงเบนไปจากข้อแนะนำที่พึงปฏิบัติได้ง่ายขึ้น
Photo by Kristopher Allison on Unsplash