โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล (มูลนิธิชัยพัฒนา)
ศาสตร์แห่งพระราชาคือศาสตร์แห่งชีวิต มีความหมายอย่างไร ที่ผ่านมาคนทั่วไปอาจจะ “เห็นแต่ไม่เคยมอง” “ได้ยินแต่ไม่เคยฟัง” เราเคยลองย้อนถามตัวเองหรือไม่ ว่าการได้เห็นพระองค์ท่านแต่ละครั้ง พระองค์ท่านกำลังเสด็จไปไหน ไปทำอะไร การได้ยินพระองค์ท่าน ได้ฟังสิ่งพระองค์ท่านได้สอนหรือไม่ การได้ตามถวายงานกับพระองค์ท่านเหมือนกับการได้เรียนงานกับท่านในทุกๆ วัน ผ่านการ มองทุกอย่างที่ท่านทำอย่างพินิจพิเคราะห์ จดทุกสิ่งที่ท่านทำ และสรุปทุกอย่างที่ท่านคิด คือ วางแผนการป้องกันในอนาคตจากสิ่งที่ทำในปัจจุบัน
พระราชดำรัส “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” เป็นประโยคที่สวยงามและถูกต้องที่สุด การครองแผ่นดิน หมายถึงการดูแลด้วยความปรารถนาดี ไม่ใช้อำนาจปกครอง เพื่อประโยชน์สุข หมายถึงคุณค่าอยู่ที่การเกิดประโยชน์และความสุขของประชาชน พระองค์ท่านสอนให้มองธรรมชาติด้วยปัญญา จะมองเห็นคุณค่าของธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ คือ ต้นตอแห่งชีวิต ที่ควรบริหารตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง หากมองธรรมชาติ ดินน้ำป่าเขาเป็นทรัพยากรธรรมชาติ จะมองเห็นเป็นทรัพย์สิน
คุณค่า คุณภาพ คุณธรรม ในมุมมองตามศาสตร์พระราชา คุณค่า หมายถึง คุณค่าของประโยชน์ที่เกิดขึ้น คุณค่าอยู่ที่ว่าใช้อย่างไร ใช้ให้เกิดประโยชน์หรือไม่ อย่าหลงไปกับเงิน, คุณภาพ หมายถึง เราได้เอื้อประโยชน์การบริการให้คนอื่นหรือไม่ เราบริการคนอื่นอย่างไร และ คุณธรรม หมายถึง...
นพ. พีระพงษ์ ภาวสุทธิไพศิฐ (รพ.หาดใหญ่)
พ.ท. ธนรัฐ ลำจวน (รพ.ค่ายขุนจืองธรรมิกราช)
อำพัน วิมลวัฒนา (วชิรพยาบาล)
ความคาดหวังของผู้บริหารต่อศูนย์พัฒนาคุณภาพในอุดมคติ
มีความคิดเชิงบวก ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก (“Can do” attitude)
มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตน และทีมงาน
มีความเพียร เชื่อมั่นในความสำเร็จร่วมกันขององค์กรอย่างยั่งยืน
เข้าใจ ความต้องการของผู้บริหาร และบุคลากร
มีมุมมองร่วมกัน กับผู้บริหาร และบุคลากรในองค์กรที่ตรงกันและถูกต้อง
สื่อสาร ชักจูง กระตุ้น แผนกและทีมคร่อมสายงานต่างๆ ให้เดินไปในทิศทางที่องค์กรต้องการ
สร้างคุณค่าในตัวเอง
พัฒนาคุณภาพของตนเอง ตั้งเป้าหมาย วางแผน ทบทวน ปรับปรุงกระบวนการที่ทำอยู่ให้ดีขึ้น
บทบาทหน้าที่ของศูนย์คุณภาพในอุดมคติ
ประเมินความก้าวหน้าของการพัฒนาคุณภาพในทุกระดับ ตั้งแต่องค์กร ระบบงาน และหน่วยงาน
ประเมินวัฒนธรรมองค์กร บรรยากาศขององค์กร สร้างบรรยากาศในการพัฒนาที่ “กระชุ่มกระชวย”
วางแผนในการพัฒนาคุณภาพ ให้ข้อเสนอแนะกับทีมนำ ประเมินผลอย่างเป็นระบบ เพื่อกระตุ้นให้เกิดผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
วิเคราะห์ และพัฒนางานของศูนย์คุณภาพเอง
สมรรถนะของศูนย์คุณภาพ
ทักษะการสื่อสาร
ทักษะ facilitator การสร้างทีมงาน ที่มีประสิทธิภาพ คนทำงานมีความสุข
ทักษะการสร้างความผูกพันในองค์กรที่ดี
ทักษะในการวิเคราะห์ปัญหา และโอกาส
Designed by...
Smart Leadership 4.0
โดย ดร.ธานินทร์ สุวงศ์วาร และ นพ.มนตรี แสงภัทราชัย
วิทยากรทั้งสองท่าน ได้แลกเปลี่ยนหลักการการเป็นผู้นำ smart leadership 4.0 โดยอ้างอิงจากประสบการณ์ การ coaching และงานวิจัยต่าง ๆ
Smart leader 4.0 ไม่ใช่เพียงแค่มีความรู้ความสามารถในงานที่รับผิดชอบเท่านั้น แต่ต้องสามารถทำงานร่วมกันกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี สิ่งสำคัญที่ทั้งเจ้าขององค์กร และลูกน้องต้องการเหมือนกัน คือ คนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูง หรือมีความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligence) ซึ่งมี 5 องค์ประกอบคือ
- Self-awareness (รู้จักตนเอง ทั้งจุดแข็ง จุดที่ต้องปรับปรุง)
- Self-regulation (ควบคุมตนเองได้ ทั้งด้านอารมณ์ และการปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง)
- Social skill (มีทักษะในการปฎิสัมพันธ์ และชี้แนะผู้อื่นได้)
- Empathy (มีความเห็นอกเห็นใจ)
- Motivation (สรัางแรงบันดาลใจให้ทั้งตนเอง และผู้อื่นได้)
นอกจากนั้น smart leader 4.0 ต้องเข้าใจ megatrends คือแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่ใช่เพื่อการปรับตัวที่เท่าทันกระแสสังคมขององค์กร เท่านั้น แต่รวมถึงนำการเปลี่ยนแปลงไปสู่ผู้อื่นด้วย (Leading change)...
ก้าวคนละก้าว....ที่เรายังก้าวต่อไป
เรียนรู้คุณภาพของทีมก้าวผ่าน "PDCA"
Plan วางแผน ตามฝัน รู้จักตนเอง ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน สื่อสาร สร้างทีม กำหนดเส้นทาง บริหารทรัพยากรและความเสี่ยง
Do พี่ตูนและทีมนักวิ่งออกวิ่งจากเบตงสู่แม่สาย ทีมแพทย์ดูแล สภาพร่างกาย ตลอดเส้นทางทีมรักษาความปลอดภัย ดูแลสวัสดิภาพระหว่างเส้นทาง ก้อย รัชวิน ดูแลและเสริมแรงใจ ฯลฯ
ระหว่างการเดินทาง มีการหมุนวงล้อ PDCA ในทุกวันเช่น
ระยะทางที่วิ่งในแต่ละวัน
P: กำหนดระยะทางในแต่วัน
D: ออกวิ่ง
C: ระยะทางที่วิ่งได้กับเป้าหมายที่ตั้งไว้
A: ลดวันพัก เพิ่มวันวิ่ง
ความพร้อมของร่างกายผู้ร่วมวิ่ง
P: เตรียมทีมแพทย์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ตลอดระยะทางในการวิ่ง
D: ตรวจสภาพร่างของผู้ร่วมวิ่ง
C: ประเมินความพร้อมด้านกายของผู้ร่วมวิ่ง
A: ให้การรักษาที่เหมาะสมแก่นักวิ่งแต่ละคน
Check ทบทวนผลลัพธ์ ระยะทางและยอดบริจาค เกิดปรากฏการณ์เกินความคาดฝัน
Act การขยายผลการพัฒนาระบบสุขภาพไทย และใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเอง
Designed by Freepik
HA National Forum 19
A value driven approach on healthcare accreditation in the future
administrator -
ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล นายแพทย์กิตตินันท์ ได้กล่าวถึงทิศทางและยุทธศาสตร์ "4 พลังสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพ ได้แก่
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การประเมินและการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล มีการปรับปรุงกระบวนการเยี่ยมสำรวจเพื่อรองรับการขยายตัวของโรงพยาบาล สร้างผู้เยี่ยมสำรวจใหม่ มีการปรับมาตรฐาน แบบประเมินตนเอง รวมถึงระบบการให้คะแนน นอกจากนี้กำลังพัฒนา Minimal requirement เพื่อการปฏิบัติสำหรับทุกโรงพยาบาล ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่เป็นการปฏิบัติตามมาตรฐาน และตามบริบท สำหรับ surveillance survey จะมีการเยี่ยมแบบ remote โดยใช้เทคโนโลยี รวมถึงขยายการรับรอง Advanced HA และ DHSA ให้มากขึ้น
ยุทธศาตร์ที่ 2 สร้างเครือข่าย Quality Learning Network มากขึ้นเพื่อสอนและกระตุ้นการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลในเครือข่าย และสร้างกลไกระดับพื้นที่โดยปลูกฝังงานคุณภาพให้อยู่ในงานประจำเพื่อให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนางานวิชาการ สร้างคลังความรู้ ผลักดัน “SIMPLE” ขยายจาก ผู้ป่วยปลอดภัยให้ครอบคลุมเจ้าหน้าที่ปลอดภัย (2P safety goal) และสร้าง National Reporting and Learning system ให้มีการรายงานความเสี่ยงของโรงพยาบาลทั่วประเทศเข้าสู่ส่วนกลางเพื่อเป็นข้อมูลในการนำไปสร้าง Minimal requirement ต่อไป...
อาจารย์อนุวัฒน์ ได้กล่าวถึง ตรีคุณแห่งการบริบาลผู้ป่วยด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ คือใช้หลัก คุณภาพ คุณค่า คุณธรรม
คุณภาพ คือ การตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ อยู่บนพื้นฐานของวิชาการ และคงเส้นคงวา
คุณค่า ขึ้นอยู่กับมุมมองว่า มุมมองของผู้รับป่วย ผู้รับประโยชน์ ซึ่งประโยชน์ 3 อย่าง ได้แก่ ประโยชน์ที่ผู้ป่วย องค์กร และคนทำงานได้รับ เพื่อให้คนทำงานเป็นทั้งผู้ให้บริการและเรียนรู้จากงานที่ตนเองทำ
คุณธรรม ผู้ประกอบวิชาชีพนั้นต้องมีคุณธรรม ซึ่งคุณธรรม ≠ จริยธรรม (จริยธรรมสามารถเห็นได้จากการกระทำของเรา, คุณธรรมนั้นอยู่ในจิตใจของเรา)
สมการคุณค่า
หลัก คุณค่า คุณภาพ คุณธรรม ใช้ภาษาง่ายๆ "ดูคน ดูไข้ ดูคุ้ม"
คุณภาพและคุณค่าในการดูแลคน (Social objective) สอดคล้องกับมิติคุณภาพ People-centeredness, Accessibility และ Continuity
คุณภาพและคุณค่าในการดูแลความเจ็บป่วย เรียกง่ายๆ ดูไข้ คือการมุ่งแก้ปัญหาผู้ป่วยให้การตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง ทันเวลา ให้การรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย สอดคล้องกับมิติคุณภาพ Appropirateness, Effectiveness, Safety
คุณภาพและคุณค่าในการดูแลผู้ป่วยให้คุ้มค่า “ดูคุ้ม” สอดคล้องกับมิติคุณภาพ Efficiency ซึ่งต้องดู evident base treatment เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นคุ้มค่า
ดังนั้นการเพิ่มคุณค่าในการดูแลผู้ป่วยต้อง “ดูคน ดูไข้ ดูคุ้ม” นำไปสู่สมการ คุณค่า = ประโยชน์ต่อผู้อื่น x คุณภาพ...
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จมาทรงเปิดการประชุมวิชาการประจำปีครั้งที่ 19 ของสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) ในหัวข้อ "คุณค่า คุณภาพ คุณธรรม"
ในครั้งนี้มีสถานพยาบาลที่มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพและได้รับการต่ออายุการรับรองกระบวนการคุณภาพขั้นก้าวหน้า จำนวน 1 แห่ง ได้รับการรับรองกระบวนการคุณภาพครั้งแรก จำนวน 50 แห่ง ได้รับการต่ออายุรับรองกระบวนการคุณภาพจำนวน 93 แห่ง และมีเครือข่ายระบบบริการสุขภาพระดับอำเภอได้รับการรับรองกระบวนการคุณภาพจำนวนจำนวน 4 แห่ง รวมถึงศูนย์บริการสาธารณสุขผ่านการรับรองกระบวนการคุณภาพจำนวน 2 แห่ง
นอกจากนี้ท่านยังทรงเสด็จมาเปิดงานนิทรรศการซึ่งเป็นการเผยแพร่ผลงานการพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาลต่างๆ เป็นการส่งเสริมให้บุคลากรให้บริการอย่างมี คุณภาพ คุณค่า ด้วยใจที่มีคุณธรรม
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ ของโรงพยาบาลต่างๆ ที่มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย
Designed by Freepik
ถ้าจะพัฒนาอะไรให้ เริ่มคิดแล้วทำเลย
“ผมก็เห็นความดีใจและความเสียใจของผู้คนที่ได้รับการ promote การแต่งตั้งรับตำแหน่งผู้บริหารเนี่ยล่ะครับ”
ตอนนั้นเราก็เป็นเด็กมาทำงานเป็นระดับหัวหน้าฝ่าย พอเราเห็นทั้งความดีใจและความเสียใจ เราก็รู้สึกว่าชีวิตเราไม่น่าขึ้นอยู่กับคนอื่น เราไม่น่าจะให้อำนาจของคนอื่นมาทำให้เรามีความสุขหรือว่ามีความทุกข์ เราน่าจะสามารถบงการชีวิตของตัวเราเองได้ ก็เลยไม่ได้สนใจว่าจะไปทางสายบริหาร แต่ว่าหันมาทำอะไรที่เราคิดว่ามันสามารถสร้างงานได้ด้วยตัวเราเอง ก็เลยมุ่งมาทำงานด้านวิชาการ
นพ.อนุวัฒน์.... เริ่มต้นเล่าอดีตของท่าน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสิ่งที่มีคุณค่าให้แก่วงการแพทย์ไทย "จุดเล็กๆนี้ก็ค่อยๆเติบโตขึ้นมา ซึ่งเป็นจุดที่เราไม่ต้องการพึ่งอำนาจคนอื่น"
อันที่สอง..พอเราเริ่มเห็นต่างประเทศทำอะไรต่างๆ เรา รู้ก็สึกว่าประเทศไทยก็ทำได้และก็น่าจะทำได้ไม่แพ้เขาถ้าเราเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง ซึ่งตอนนี้มันจะขัดกับความเชื่อในสมัยนั้น ตอนที่เราเริ่มทำ คนจะคิดว่า คือเราชอบทำอะไรเหมือนไฟไหม้ฟาง มีอะไรฮิตมาเราทำ ทำแล้วก็เลิกกันไป แล้วก็หันไปจับเรื่องใหม่ ซึ่งมันจะกลายเป็นความเสียเปล่า ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรแล้วเราก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่ทุกที
อันนี้ก็เป็นหัวใจอันนึ่งที่เราทำมันต่อเนื่องแล้วก็เรียนรู้ค่อยๆ ปรับไปแล้วก็เห็นผล พอเราได้รับฟีตแบคมาเราก็จะปรับให้มันลงตัว แล้วเราก็ไม่รอที่จะต้องให้มันเพอร์เฟคก่อนค่อยลงมือทำ เราจะทำไปเรียนรู้ไป ซึ่งจริงๆแล้วมันตรงกับหลักที่เขาสรุปนะ ที่บอกว่า “ถ้าจะพัฒนาอะไรเนี่ย เราเริ่มคิดและลงมือทำเลย ทำเลยและก็เรียนรู้แล้วก็ปรับแล้วไม่ต้องรอนาน เพราะมันคือโอกาส”
ตอนที่เข้ามากระทรวงนี่ มันก็ฝึกฝนเรานะ พอเราเข้ามาอยู่ในกระทรวง เริ่มแรก เราไม่มีตำแหน่งอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลยอันนั้นเป็นการฝึกฝนให้เราต้องทำงานโดยขอความช่วยเหลือจากผู้คนเราก็ต้องหาวิธีว่า ทำยังไงคนถึงจะให้ความร่วมมือ
“แต่ปัญหาหนัก กลายเป็นปัญหาเรื่องคน ปัญหาเรื่องความร่วมมือ ปัญหาเรื่องความเข้าใจ” ซึ่งอันนี้เราก็ต้องใช้ความอดทนที่จะทนคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรา ทนน้ำเสียง ทนคำถาม คือ เราเข้าใจนะว่าจะมีทั้งสนับสนุนและไม่สนับสนุน แต่เราก็ทำให้มันค่อยๆ เห็นผลขึ้นมา เราไม่ได้เดินซ้ำแบบเดิม เราพยายามคิดต่าง และอันนี้เป็นความสนุกมันจะเข้าสู่สูตรเดิมก็คือไม่สำเร็จก็ไม่เสียหายอะไร เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีคนทำ แต่เข้าไปเถอะตรงไหนก็ได้เข้าไปก่อน แล้วเดี๋ยวมันจะค่อยๆเห็นทางที่มีคนเขาเดิน...
เริ่มต้นศรัทธาจากงานคุณภาพ นำประสบการณ์มาช่วยบ้านเกิด
“ถ้ามาทบทวนย้อนหลังกลับไปสู่อดีตเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ว่าอะไรนะที่ทำให้เราตัดสินใจที่จะกลับมาทำในสิ่งที่เหมือนมันยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง ในช่วงนั้น ก็ต้องบอกว่าควรจะเริ่มต้นที่แรงจูงใจ Motivation ว่าอะไรที่มันทำให้เราตัดสินใจทั้งๆที่เรามีความพร้อมทุกอย่าง สบาย ตำแหน่งหน้าที่การงาน เราก็อยู่ในประเทศที่ทุกคนยอมรับว่ามันเจริญ ทั้งการศึกษา ทั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย ครอบครัวก็รู้สึกอบอุ่น ในช่วงนั้นก็ต้องบอกว่าเป็นช่วงที่เราอิ่มกับการที่เราได้รับโอกาส ทั้งในด้านของประสบการณ์ทั้งความรู้ทั้งวัยที่สูงขึ้นของเรา เราก็มองออกมานอกจากตัวเองมากขึ้น ถึงได้ไปช่วยสังคมในด้านวิชาชีพของตัวเองด้วย การที่เป็นเลขาของสมาคมพยาบาล Southern California ในสหรัฐอเมริกา เมื่อมาทำตรงนี้มันเป็นบทบาทที่เราต้องช่วยสังคม แล้วก็ยังเป็นการออกมานอกประเทศเพื่อที่จะกลับมาดูบ้านของเรา ประเทศไทยของเรา”
อาจารย์ผ่องพรรณ ย้อนถึงจุดเริ่มต้นของโครงการนี้ “ก็คงเป็นโชคชะตาอีกเหมือนกันที่ทำให้ได้เจอ อาจารย์อนุวัฒน์”
“ด้วยการที่เราเห็นอาจารย์อนุวัฒน์ ทั้งๆ ที่เราไม่เคยรู้จักเขามาก่อนแล้วเรามาพูดในเรื่องเดียวกันคืองานคุณภาพ ถ้าให้พี่คิดว่าตอนนั้นเนี่ยอะไรที่ทำให้เรายอมที่จะมาทำงานร่วมกับอาจารย์อนุวัฒน์อาจจะเป็นเรื่องของ Motivation เป็นเหมือนแรงจูงใจว่างานคุณภาพที่อาจารย์จะนำพาไป อาจารย์จะพาพวกเราไปได้ ศรัทธาที่มีต่อการพัฒนาคุณภาพตลอดระยะเวลา 30 ปีที่เราอยู่ต่างประเทศ เราทำมันมากับมือ บวกกับความคิดที่ว่า30 ปีเราทำให้กับประเทศอื่นไป ต้องเรียกว่าเป็นประเทศเป็นเมืองนอนของเรา แต่ไม่ใช่เป็นเมืองเกิด เราจะมีอะไรที่เรามีอยู่ตอนนี้เอาไปทำให้บ้านเกิดของเราเอง ดังนั้มเมื่ออาจารย์อนุวัฒน์ ถาม พี่ว่า "พี่มาทำกับผมไหม?" ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าให้คำตอบอาจารย์ไปว่า "ค่ะอาจารย์พี่จะมา "
“และเมื่อกลับมาที่นี่ ตัวพี่เองก็ปรับเยอะนะด้วยความที่อยู่ในประเทศที่เขามีวัฒนธรรมการพูดจาที่ค่อนข้างตรง มาเมืองไทยการพูดจาพูดตรงแบบนั้นมันไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมบ้านเรา เราก็ต้องเอามาทบทวนว่าอุปสรรคที่เราเจอ เราจะปรับอะไรได้บ้างเพื่อจะผ่านด่านตรงนี้ไปได้ ซึ่งตัวพี่ได้ดึงศักยภาพออกมาใช้และให้เป็นประโยชน์กับโรงพยาบาล มีความตั้งใจสูง ความรู้ในต่างประเทศแต่ไม่สามารถจะนำมาใช้ในเมืองไทยได้ทั้งหมด...
โรงพยาบาลในอนาคตต้องเผชิญ กับความคาดหวังของผู้คน
“ตอนนั้นสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาลองค์การมหาชนมีชื่อเดิมชื่อว่า พรพ.สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล ตอนใหม่ๆ ก็ไม่รู้ว่าเขาทำงานอะไรกัน ก็ปฏิเสธอาจารย์อนุวัฒน์เลยว่าแม่ต้อยมีงานทำซึ่งแม่ต้อยก็รักอยู่ เดิมอยู่แล้วนะคะ แต่พอได้รับการชักชวนบ่อยๆ มากครั้งเข้า ก็ได้มานั่งคุยกันก็เกิดความศรัทธาในสิ่งที่จะทำอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะว่ามันเห็นภาพฝันว่าเราต้องการให้ประเทศไทย มีโรงพยาบาลที่มีคุณภาพและมีวัฒนธรรมของคุณภาพ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนปรารถนา แล้วถ้าเราไม่ทำ ก็จะเสียโอกาส ที่สำคัญในชีวิตเลย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้ามาที่ พรพ.ในสมัยนั้นค่ะ”
อาจารย์ดวงสมร บุญผดุง เริ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ได้มาเริ่มโครงการนี้ ด้วยน้ำเสียงและแววตาที่ภาคภูมิใจ
ที่นี่พอเข้ามาในสถานการณ์ที่เราเริ่มต้นงานสิ่งใดสิ่งหนึ่ง “สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือเราจะต้องมีความรักในงาน มีความรักและก็มีความภาคภูมิใจ ในสิ่งที่เราทำตลอดเวลา สิ่งนี้จะทำให้เราเกิดความรับผิดชอบในตัวเอง แม่ต้อยสังเกตเห็นสายตาของอาจารย์อนุวัฒน์ เป็นสายตาของผู้ชายที่มีความมุ่งมั่นในการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แล้วแม่ต้อยก็นึกในใจว่าอาจารย์อนุวัฒน์จะทำได้ไหมคนเดียว สิ่งเหล่านั้นเองทำให้แม่ต้อยตัดสินใจลาออกจากราชการ ที่จะมาช่วยอาจารย์ทำเพราะคิดว่าถ้าเราสามารถทำสิ่งเหล่านี้ ที่ฝันในขณะนั้นให้เป็นจริงได้ อันนี้ก็คือคุณูปการที่สำคัญมากของประเทศไทย เราจะต้องช่วยผู้ชายคนนี้ ให้ไปสู่ความสำเร็จให้ได้”
ก็จะคิดตลอดเวลาเลยว่าเหมือนกับเราเดินทางในป่าใหญ่มากเลยและมันก็มืดมิดนะมีความหวังที่ปลายเป้าหมายเป็นความหวังเหมือนกับแสงเทียนเล็กๆที่เราบางทีก็มองไม่เห็น บางทีก็มองเห็นขึ้นมา แต่สิ่งเหล่านี้เราต้องพยายามสร้างกำลังใจตลอดเวลาว่าเราจะต้องไปถึงจุดนั้นให้ได้จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้อุปสรรค มีเยอะมากในช่วงแรกๆ เพราะว่าการที่เราจะไปพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลถ้าเราใช้ความรู้อย่างเดียวในการไปประเมิน มันค่อนข้างยากในการเริ่มต้นเพราะคนไทยไม่ชอบการให้ใครมาประเมิน คนไทยชอบการให้เกียรติกันดังนั้นในการที่เราเข้าไปเยี่ยมโรงพยาบาลเราจึงจะมี คำพูดที่เราติดปากจนถึงปัจจุบันนี้
“ว่าเราจะต้องเป็นกัลยาณมิตรเหมือนกับไปช่วยเขาเรียนรู้ไปด้วยกัน เพราะฉะนั้น HA เราจะใช้คำว่าเรียนรู้มากกว่าในการที่จะใช้คำว่าประเมิน อันนี้เป็นจุดเริ่มแรกที่เราจะต้องข้ามตรงนี้ไปให้ได้”
อันที่สอง จะต้องรู้จริงในเรื่องของบริบทของโรงพยาบาล
ก็คือว่ารู้จริงแล้วจะต้องรู้จริงในบริบทในความคิดของผู้คน ความทุกข์ยากของผู้คน ที่เราเข้าไปหาอยู่เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มันจะต้องผสมกันในระหว่างความรู้ทางด้านวิชาการมาตรฐาน ความรู้ในเรื่องของความทุกข์ของคนทำงาน ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องระบบบริหารราชการและความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ของโรงพยาบาลมันต้องผสมกันไปหมดเลย
“อันนี้ก็คือศาสตร์ที่แม่ต้อยเรียกว่าเป็นกัลยาณมิตร และการเป็นกัลยาณมิตรนั้นจะต้องเข้าใจคนอื่นและชี้นำให้คนอื่นเห็นช่องทางที่ดีมากขึ้น อันนั้นเป็นสิ่งที่กัลยาณมิตรทำ”
แม่ต้อยมีความเชื่อเสมอเลยว่าโรงพยาบาล นั้นเป็นผู้ที่มีความเก่งมีความรอบรู้เพราะเขาปฏิบัติงานอยู่ตลอดเวลาและเข้าใจบริบทระหว่างเพื่อนในกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มซึ่งทำงานในลักษณะที่ว่า อยู่ใกล้เคียงกันเพราะว่าเค้าส่งต่อคนไข้เค้าปรึกษาหารือกันตลอดเวลา
เราเข้าไปด้วยความตั้งใจดี ปรารถนาดี เราเอาสิ่งที่เรามีซึ่งเราอาจจะคิดว่าไม่มากนัก...