HA National Forum 19
A value driven approach on healthcare accreditation in the future
administrator -0
ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล นายแพทย์กิตตินันท์ ได้กล่าวถึงทิศทางและยุทธศาสตร์ "4 พลังสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพ ได้แก่
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การประเมินและการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล มีการปรับปรุงกระบวนการเยี่ยมสำรวจเพื่อรองรับการขยายตัวของโรงพยาบาล สร้างผู้เยี่ยมสำรวจใหม่ มีการปรับมาตรฐาน แบบประเมินตนเอง รวมถึงระบบการให้คะแนน นอกจากนี้กำลังพัฒนา Minimal requirement เพื่อการปฏิบัติสำหรับทุกโรงพยาบาล ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่เป็นการปฏิบัติตามมาตรฐาน และตามบริบท สำหรับ surveillance survey จะมีการเยี่ยมแบบ remote โดยใช้เทคโนโลยี รวมถึงขยายการรับรอง Advanced HA และ DHSA ให้มากขึ้น
ยุทธศาตร์ที่ 2 สร้างเครือข่าย Quality Learning Network มากขึ้นเพื่อสอนและกระตุ้นการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลในเครือข่าย และสร้างกลไกระดับพื้นที่โดยปลูกฝังงานคุณภาพให้อยู่ในงานประจำเพื่อให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนางานวิชาการ สร้างคลังความรู้ ผลักดัน “SIMPLE” ขยายจาก ผู้ป่วยปลอดภัยให้ครอบคลุมเจ้าหน้าที่ปลอดภัย (2P safety goal) และสร้าง National Reporting and Learning system ให้มีการรายงานความเสี่ยงของโรงพยาบาลทั่วประเทศเข้าสู่ส่วนกลางเพื่อเป็นข้อมูลในการนำไปสร้าง Minimal requirement ต่อไป...
อาจารย์อนุวัฒน์ ได้กล่าวถึง ตรีคุณแห่งการบริบาลผู้ป่วยด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ คือใช้หลัก คุณภาพ คุณค่า คุณธรรม
คุณภาพ คือ การตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ อยู่บนพื้นฐานของวิชาการ และคงเส้นคงวา
คุณค่า ขึ้นอยู่กับมุมมองว่า มุมมองของผู้รับป่วย ผู้รับประโยชน์ ซึ่งประโยชน์ 3 อย่าง ได้แก่ ประโยชน์ที่ผู้ป่วย องค์กร และคนทำงานได้รับ เพื่อให้คนทำงานเป็นทั้งผู้ให้บริการและเรียนรู้จากงานที่ตนเองทำ
คุณธรรม ผู้ประกอบวิชาชีพนั้นต้องมีคุณธรรม ซึ่งคุณธรรม ≠ จริยธรรม (จริยธรรมสามารถเห็นได้จากการกระทำของเรา, คุณธรรมนั้นอยู่ในจิตใจของเรา)
สมการคุณค่า
หลัก คุณค่า คุณภาพ คุณธรรม ใช้ภาษาง่ายๆ "ดูคน ดูไข้ ดูคุ้ม"
คุณภาพและคุณค่าในการดูแลคน (Social objective) สอดคล้องกับมิติคุณภาพ People-centeredness, Accessibility และ Continuity
คุณภาพและคุณค่าในการดูแลความเจ็บป่วย เรียกง่ายๆ ดูไข้ คือการมุ่งแก้ปัญหาผู้ป่วยให้การตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง ทันเวลา ให้การรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย สอดคล้องกับมิติคุณภาพ Appropirateness, Effectiveness, Safety
คุณภาพและคุณค่าในการดูแลผู้ป่วยให้คุ้มค่า “ดูคุ้ม” สอดคล้องกับมิติคุณภาพ Efficiency ซึ่งต้องดู evident base treatment เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นคุ้มค่า
ดังนั้นการเพิ่มคุณค่าในการดูแลผู้ป่วยต้อง “ดูคน ดูไข้ ดูคุ้ม” นำไปสู่สมการ คุณค่า = ประโยชน์ต่อผู้อื่น x คุณภาพ...
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จมาทรงเปิดการประชุมวิชาการประจำปีครั้งที่ 19 ของสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) ในหัวข้อ "คุณค่า คุณภาพ คุณธรรม"
ในครั้งนี้มีสถานพยาบาลที่มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพและได้รับการต่ออายุการรับรองกระบวนการคุณภาพขั้นก้าวหน้า จำนวน 1 แห่ง ได้รับการรับรองกระบวนการคุณภาพครั้งแรก จำนวน 50 แห่ง ได้รับการต่ออายุรับรองกระบวนการคุณภาพจำนวน 93 แห่ง และมีเครือข่ายระบบบริการสุขภาพระดับอำเภอได้รับการรับรองกระบวนการคุณภาพจำนวนจำนวน 4 แห่ง รวมถึงศูนย์บริการสาธารณสุขผ่านการรับรองกระบวนการคุณภาพจำนวน 2 แห่ง
นอกจากนี้ท่านยังทรงเสด็จมาเปิดงานนิทรรศการซึ่งเป็นการเผยแพร่ผลงานการพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาลต่างๆ เป็นการส่งเสริมให้บุคลากรให้บริการอย่างมี คุณภาพ คุณค่า ด้วยใจที่มีคุณธรรม
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ ของโรงพยาบาลต่างๆ ที่มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย
Designed by Freepik
ถ้าจะพัฒนาอะไรให้ เริ่มคิดแล้วทำเลย
“ผมก็เห็นความดีใจและความเสียใจของผู้คนที่ได้รับการ promote การแต่งตั้งรับตำแหน่งผู้บริหารเนี่ยล่ะครับ”
ตอนนั้นเราก็เป็นเด็กมาทำงานเป็นระดับหัวหน้าฝ่าย พอเราเห็นทั้งความดีใจและความเสียใจ เราก็รู้สึกว่าชีวิตเราไม่น่าขึ้นอยู่กับคนอื่น เราไม่น่าจะให้อำนาจของคนอื่นมาทำให้เรามีความสุขหรือว่ามีความทุกข์ เราน่าจะสามารถบงการชีวิตของตัวเราเองได้ ก็เลยไม่ได้สนใจว่าจะไปทางสายบริหาร แต่ว่าหันมาทำอะไรที่เราคิดว่ามันสามารถสร้างงานได้ด้วยตัวเราเอง ก็เลยมุ่งมาทำงานด้านวิชาการ
นพ.อนุวัฒน์.... เริ่มต้นเล่าอดีตของท่าน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสิ่งที่มีคุณค่าให้แก่วงการแพทย์ไทย "จุดเล็กๆนี้ก็ค่อยๆเติบโตขึ้นมา ซึ่งเป็นจุดที่เราไม่ต้องการพึ่งอำนาจคนอื่น"
อันที่สอง..พอเราเริ่มเห็นต่างประเทศทำอะไรต่างๆ เรา รู้ก็สึกว่าประเทศไทยก็ทำได้และก็น่าจะทำได้ไม่แพ้เขาถ้าเราเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง ซึ่งตอนนี้มันจะขัดกับความเชื่อในสมัยนั้น ตอนที่เราเริ่มทำ คนจะคิดว่า คือเราชอบทำอะไรเหมือนไฟไหม้ฟาง มีอะไรฮิตมาเราทำ ทำแล้วก็เลิกกันไป แล้วก็หันไปจับเรื่องใหม่ ซึ่งมันจะกลายเป็นความเสียเปล่า ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรแล้วเราก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่ทุกที
อันนี้ก็เป็นหัวใจอันนึ่งที่เราทำมันต่อเนื่องแล้วก็เรียนรู้ค่อยๆ ปรับไปแล้วก็เห็นผล พอเราได้รับฟีตแบคมาเราก็จะปรับให้มันลงตัว แล้วเราก็ไม่รอที่จะต้องให้มันเพอร์เฟคก่อนค่อยลงมือทำ เราจะทำไปเรียนรู้ไป ซึ่งจริงๆแล้วมันตรงกับหลักที่เขาสรุปนะ ที่บอกว่า “ถ้าจะพัฒนาอะไรเนี่ย เราเริ่มคิดและลงมือทำเลย ทำเลยและก็เรียนรู้แล้วก็ปรับแล้วไม่ต้องรอนาน เพราะมันคือโอกาส”
ตอนที่เข้ามากระทรวงนี่ มันก็ฝึกฝนเรานะ พอเราเข้ามาอยู่ในกระทรวง เริ่มแรก เราไม่มีตำแหน่งอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลยอันนั้นเป็นการฝึกฝนให้เราต้องทำงานโดยขอความช่วยเหลือจากผู้คนเราก็ต้องหาวิธีว่า ทำยังไงคนถึงจะให้ความร่วมมือ
“แต่ปัญหาหนัก กลายเป็นปัญหาเรื่องคน ปัญหาเรื่องความร่วมมือ ปัญหาเรื่องความเข้าใจ” ซึ่งอันนี้เราก็ต้องใช้ความอดทนที่จะทนคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรา ทนน้ำเสียง ทนคำถาม คือ เราเข้าใจนะว่าจะมีทั้งสนับสนุนและไม่สนับสนุน แต่เราก็ทำให้มันค่อยๆ เห็นผลขึ้นมา เราไม่ได้เดินซ้ำแบบเดิม เราพยายามคิดต่าง และอันนี้เป็นความสนุกมันจะเข้าสู่สูตรเดิมก็คือไม่สำเร็จก็ไม่เสียหายอะไร เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีคนทำ แต่เข้าไปเถอะตรงไหนก็ได้เข้าไปก่อน แล้วเดี๋ยวมันจะค่อยๆเห็นทางที่มีคนเขาเดิน...
เริ่มต้นศรัทธาจากงานคุณภาพ นำประสบการณ์มาช่วยบ้านเกิด
“ถ้ามาทบทวนย้อนหลังกลับไปสู่อดีตเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ว่าอะไรนะที่ทำให้เราตัดสินใจที่จะกลับมาทำในสิ่งที่เหมือนมันยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง ในช่วงนั้น ก็ต้องบอกว่าควรจะเริ่มต้นที่แรงจูงใจ Motivation ว่าอะไรที่มันทำให้เราตัดสินใจทั้งๆที่เรามีความพร้อมทุกอย่าง สบาย ตำแหน่งหน้าที่การงาน เราก็อยู่ในประเทศที่ทุกคนยอมรับว่ามันเจริญ ทั้งการศึกษา ทั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย ครอบครัวก็รู้สึกอบอุ่น ในช่วงนั้นก็ต้องบอกว่าเป็นช่วงที่เราอิ่มกับการที่เราได้รับโอกาส ทั้งในด้านของประสบการณ์ทั้งความรู้ทั้งวัยที่สูงขึ้นของเรา เราก็มองออกมานอกจากตัวเองมากขึ้น ถึงได้ไปช่วยสังคมในด้านวิชาชีพของตัวเองด้วย การที่เป็นเลขาของสมาคมพยาบาล Southern California ในสหรัฐอเมริกา เมื่อมาทำตรงนี้มันเป็นบทบาทที่เราต้องช่วยสังคม แล้วก็ยังเป็นการออกมานอกประเทศเพื่อที่จะกลับมาดูบ้านของเรา ประเทศไทยของเรา”
อาจารย์ผ่องพรรณ ย้อนถึงจุดเริ่มต้นของโครงการนี้ “ก็คงเป็นโชคชะตาอีกเหมือนกันที่ทำให้ได้เจอ อาจารย์อนุวัฒน์”
“ด้วยการที่เราเห็นอาจารย์อนุวัฒน์ ทั้งๆ ที่เราไม่เคยรู้จักเขามาก่อนแล้วเรามาพูดในเรื่องเดียวกันคืองานคุณภาพ ถ้าให้พี่คิดว่าตอนนั้นเนี่ยอะไรที่ทำให้เรายอมที่จะมาทำงานร่วมกับอาจารย์อนุวัฒน์อาจจะเป็นเรื่องของ Motivation เป็นเหมือนแรงจูงใจว่างานคุณภาพที่อาจารย์จะนำพาไป อาจารย์จะพาพวกเราไปได้ ศรัทธาที่มีต่อการพัฒนาคุณภาพตลอดระยะเวลา 30 ปีที่เราอยู่ต่างประเทศ เราทำมันมากับมือ บวกกับความคิดที่ว่า30 ปีเราทำให้กับประเทศอื่นไป ต้องเรียกว่าเป็นประเทศเป็นเมืองนอนของเรา แต่ไม่ใช่เป็นเมืองเกิด เราจะมีอะไรที่เรามีอยู่ตอนนี้เอาไปทำให้บ้านเกิดของเราเอง ดังนั้มเมื่ออาจารย์อนุวัฒน์ ถาม พี่ว่า "พี่มาทำกับผมไหม?" ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าให้คำตอบอาจารย์ไปว่า "ค่ะอาจารย์พี่จะมา "
“และเมื่อกลับมาที่นี่ ตัวพี่เองก็ปรับเยอะนะด้วยความที่อยู่ในประเทศที่เขามีวัฒนธรรมการพูดจาที่ค่อนข้างตรง มาเมืองไทยการพูดจาพูดตรงแบบนั้นมันไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมบ้านเรา เราก็ต้องเอามาทบทวนว่าอุปสรรคที่เราเจอ เราจะปรับอะไรได้บ้างเพื่อจะผ่านด่านตรงนี้ไปได้ ซึ่งตัวพี่ได้ดึงศักยภาพออกมาใช้และให้เป็นประโยชน์กับโรงพยาบาล มีความตั้งใจสูง ความรู้ในต่างประเทศแต่ไม่สามารถจะนำมาใช้ในเมืองไทยได้ทั้งหมด...
โรงพยาบาลในอนาคตต้องเผชิญ กับความคาดหวังของผู้คน
“ตอนนั้นสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาลองค์การมหาชนมีชื่อเดิมชื่อว่า พรพ.สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล ตอนใหม่ๆ ก็ไม่รู้ว่าเขาทำงานอะไรกัน ก็ปฏิเสธอาจารย์อนุวัฒน์เลยว่าแม่ต้อยมีงานทำซึ่งแม่ต้อยก็รักอยู่ เดิมอยู่แล้วนะคะ แต่พอได้รับการชักชวนบ่อยๆ มากครั้งเข้า ก็ได้มานั่งคุยกันก็เกิดความศรัทธาในสิ่งที่จะทำอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะว่ามันเห็นภาพฝันว่าเราต้องการให้ประเทศไทย มีโรงพยาบาลที่มีคุณภาพและมีวัฒนธรรมของคุณภาพ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนปรารถนา แล้วถ้าเราไม่ทำ ก็จะเสียโอกาส ที่สำคัญในชีวิตเลย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้ามาที่ พรพ.ในสมัยนั้นค่ะ”
อาจารย์ดวงสมร บุญผดุง เริ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ได้มาเริ่มโครงการนี้ ด้วยน้ำเสียงและแววตาที่ภาคภูมิใจ
ที่นี่พอเข้ามาในสถานการณ์ที่เราเริ่มต้นงานสิ่งใดสิ่งหนึ่ง “สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือเราจะต้องมีความรักในงาน มีความรักและก็มีความภาคภูมิใจ ในสิ่งที่เราทำตลอดเวลา สิ่งนี้จะทำให้เราเกิดความรับผิดชอบในตัวเอง แม่ต้อยสังเกตเห็นสายตาของอาจารย์อนุวัฒน์ เป็นสายตาของผู้ชายที่มีความมุ่งมั่นในการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แล้วแม่ต้อยก็นึกในใจว่าอาจารย์อนุวัฒน์จะทำได้ไหมคนเดียว สิ่งเหล่านั้นเองทำให้แม่ต้อยตัดสินใจลาออกจากราชการ ที่จะมาช่วยอาจารย์ทำเพราะคิดว่าถ้าเราสามารถทำสิ่งเหล่านี้ ที่ฝันในขณะนั้นให้เป็นจริงได้ อันนี้ก็คือคุณูปการที่สำคัญมากของประเทศไทย เราจะต้องช่วยผู้ชายคนนี้ ให้ไปสู่ความสำเร็จให้ได้”
ก็จะคิดตลอดเวลาเลยว่าเหมือนกับเราเดินทางในป่าใหญ่มากเลยและมันก็มืดมิดนะมีความหวังที่ปลายเป้าหมายเป็นความหวังเหมือนกับแสงเทียนเล็กๆที่เราบางทีก็มองไม่เห็น บางทีก็มองเห็นขึ้นมา แต่สิ่งเหล่านี้เราต้องพยายามสร้างกำลังใจตลอดเวลาว่าเราจะต้องไปถึงจุดนั้นให้ได้จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้อุปสรรค มีเยอะมากในช่วงแรกๆ เพราะว่าการที่เราจะไปพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลถ้าเราใช้ความรู้อย่างเดียวในการไปประเมิน มันค่อนข้างยากในการเริ่มต้นเพราะคนไทยไม่ชอบการให้ใครมาประเมิน คนไทยชอบการให้เกียรติกันดังนั้นในการที่เราเข้าไปเยี่ยมโรงพยาบาลเราจึงจะมี คำพูดที่เราติดปากจนถึงปัจจุบันนี้
“ว่าเราจะต้องเป็นกัลยาณมิตรเหมือนกับไปช่วยเขาเรียนรู้ไปด้วยกัน เพราะฉะนั้น HA เราจะใช้คำว่าเรียนรู้มากกว่าในการที่จะใช้คำว่าประเมิน อันนี้เป็นจุดเริ่มแรกที่เราจะต้องข้ามตรงนี้ไปให้ได้”
อันที่สอง จะต้องรู้จริงในเรื่องของบริบทของโรงพยาบาล
ก็คือว่ารู้จริงแล้วจะต้องรู้จริงในบริบทในความคิดของผู้คน ความทุกข์ยากของผู้คน ที่เราเข้าไปหาอยู่เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มันจะต้องผสมกันในระหว่างความรู้ทางด้านวิชาการมาตรฐาน ความรู้ในเรื่องของความทุกข์ของคนทำงาน ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องระบบบริหารราชการและความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ของโรงพยาบาลมันต้องผสมกันไปหมดเลย
“อันนี้ก็คือศาสตร์ที่แม่ต้อยเรียกว่าเป็นกัลยาณมิตร และการเป็นกัลยาณมิตรนั้นจะต้องเข้าใจคนอื่นและชี้นำให้คนอื่นเห็นช่องทางที่ดีมากขึ้น อันนั้นเป็นสิ่งที่กัลยาณมิตรทำ”
แม่ต้อยมีความเชื่อเสมอเลยว่าโรงพยาบาล นั้นเป็นผู้ที่มีความเก่งมีความรอบรู้เพราะเขาปฏิบัติงานอยู่ตลอดเวลาและเข้าใจบริบทระหว่างเพื่อนในกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มซึ่งทำงานในลักษณะที่ว่า อยู่ใกล้เคียงกันเพราะว่าเค้าส่งต่อคนไข้เค้าปรึกษาหารือกันตลอดเวลา
เราเข้าไปด้วยความตั้งใจดี ปรารถนาดี เราเอาสิ่งที่เรามีซึ่งเราอาจจะคิดว่าไม่มากนัก...
โครงการเล็กๆ แต่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย
20 ปีที่มาคลุกคลีกับ HA นะคะ คิดว่าคนแรกที่อยากขอบคุณก่อนคนอื่นก็คงเป็นอาจารย์อนุวัฒน์ จากจุดเริ่มต้นที่อาจารย์อนุวัฒน์ตั้งไว้ มันก็ออกดอกออกผล จนกระทั่งเกิดสำนักงาน เกิดทีมงานอะไรต่างๆ มันก็ทำให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ต่างๆขึ้นมา ส่วนใหญ่มันมาด้วยใจและก็สร้างด้วยใจ รู้จักซึ่งกันและกันก็เข้าใจกัน เพราะทุกคนมีเป้าหมายร่วมกัน แล้วก็มาทำร่วมกันเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีๆ อันนี้ก็ทำให้เกิดคุณค่า มันเป็น HA ที่มีคุณค่าและทำให้รู้สึกว่าเรารักและผูกพันมาก
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าจากโครงการเล็กๆ มันเกิดพลังอันยิ่งใหญ่กับประเทศไทย สมัยก่อนก็จะมีการมาสรุปประเมินจูนกันตลอดเวลา อันนี้มันก็ทำให้ Learning ซึ่งกันและกัน แล้วก็ได้เครือข่ายเน็ตเวิร์ค คิดว่าตอนนี้ประเทศไทยเปลี่ยนไปเยอะ มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก แล้วอันนี้มันก็เลยเป็นแรงบันดาลใจว่าเกษียณออกไปแล้ว ทำไมทำอยู่ เพราะมันเป็นสิ่งที่มีคุณค่านะ แล้วก็มันทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆในระบบ Health Care เกิดขึ้น
คิดว่าตอนนี้องค์กรมันโตขึ้นคนเยอะ มันไม่เหมือนสมัยก่อนเพราะฉะนั้นมันก็ จะเริ่มมีโครงสร้างงานมีฝ่ายต่างๆเยอะขึ้น สมัยก่อนมันก็จะเป็นคนเดียวดูหมดทุกส่วน เพราะว่ามีทั้งส่วนส่งเสริมพัฒนา ส่วนของประเมิน ส่วนของวิทยากร อะไรแบบนี้ เพราะคนน้อยก็จะคุยกันบ่อยแล้วก็เอามาจูนกันแล้วก็มีคนดูภาพรวมอยู่คนเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีน้องๆที่เคยเป็นน้องประสาน เค้าโตขึ้นมาเป็นคนดูแล มีอะไรคุยกันแล้วก็มีความรักความสามัคคีกัน เพราะเป็นแบบนั้นมันทำให้งานแต่ละฝ่าย เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
หรือถ้าประเมินไปทางนี้ ไปเยี่ยมแล้วเจอปัญหาอะไรเราก็มาคุย จะส่งเสริม ควรจะปรับหลักสูตรอะไร ในส่วนของบริหารจะซัพพอร์ตอะไร มันทำให้บรรยากาศการทำงานทำให้คนอยากทำ ถึงเหนื่อยก็ยังอยากทำ ส่วนใหญ่สมัยก่อน 90% ไม่มีใครกลับบ้านเร็วอยู่เย็นตลอด ก็ช่วยกันทำ ทุกคนไม่ได้บ่นแต่ทุกคนเห็นคุณค่าในการทำงาน
ตัวที่เป็นแรงผลัก...
เกินความคาดหมาย แต่ยังหยุดไม่ได้
“ตอนนั้นรู้สึกจะเป็นนายกสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล ก็ได้ออกไปในโรงพยาบาล ในสังกัดของรัฐ ได้เห็นอะไรมากมายแล้วก็มีความรู้สึกว่า ทำไมแต่ละเเห่ง การทำงานมันไม่ค่อยเหมือนกัน มีอะไรหลายๆอย่างซึ่งน่าจะเป็นบทบาทของเภสัช แต่เภสัชไม่ได้ทำ น่าจะเป็นบทบาทใน เชิงปฎิบัติเชิงการวิชาชีพ มากกว่านี้ไหม ก็เลยช่วยกันทำมาตราฐานเภสัชกรรมโรงพยาบาลและเราก็เริ่มมาเห็นว่า เราน่าจะเอาอันนี้นำ ลงสู่การปฏบัติในโรงพยาบาล”
รศ.ภญ.ธิดา นิงสานนท์ เล่าถึงจุดเริ่มต้น
บังเอิญที่มีมาตรฐานโรงพยาบาลจากอาจารย์อนุวัฒน์ มันก็สอดรับกันพอดีเราก็เลยรู้สึกว่ามีกำลังใจ เพราะว่าในการที่ จะนำ HA ลงปฏิบัติในโรงพยาบาล ระยะแรก อาจจะยังเป็นเรื่องของสมัครใจเฉยๆ เเต่พอระยะหลังมันเป็นนโยบาย ซึ่งโรงพยาบาลต่างๆก็มาร่วมกันให้ความร่วมมือและผลักดันเรื่องของมาตรฐานวิชาชีพ เพราะคิดว่า วิชาชีพเราน่าจะปฏิบัติวิชาชีพกับผู้ป่วยได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ในอดีตเภสัชกร แทบจะไม่เคยเจอคนไข้เลยนะคะ ก็เช็คยาอย่างเดียวส่งให้ ผู้ช่วยเอายาให้กับคนไข้ ไม่มีการเเนะนำ ไม่มีการซักประวัติเรื่องแพ้ยา เราก็อยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ไม่เคยเจอคนไข้ เภสัชกรน่าจะเจอกับคนไข้บ้างนะ นะคะเพราะเราจะได้ช่วยได้หลายๆ เรื่องเลยแม้เเต่การช่วยสกรีนนิ่งในเรื่องการสั่งยาของแพทย์
ซึ่งมันเป็นแรงบันดาลใจหลายๆอย่าง พอเราสามารถที่จะแก้และทำให้มันเป็นไปตามมาตรฐานได้ มันก็เป็นกำลังใจ ตัวเองก็อยากจะทำงานต่อ ผลักดันงานต่อไปให้มันเป็นไปตามมาตรฐานเรื่อยๆ ก็มี Process จะทำยังไงเราก็ช่วยกันคิดแล้วก็ เข้าไปดูว่าอะไรที่มันเหมาะกับสถานการณ์หรือบริบท ในโรงพยาบาล อันนี้ต้องยอมรับเลยว่า HA มีส่วนมาก ถ้าเกิดไม่มีเรื่องนี้เข้ามาอยู่ด้านหลังและผลักดัน เราจะมาไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ค่ะ เพราะว่าลำพังของเภสัชกรเองเราไม่มีพลัง พอที่จะไปทำให้ผู้บริหารเขายอมเปลี่ยนแปลง”
อันนึ่งคิดว่าเป็นเพราะการที่ทำกิจกรรมนักศึกษาตอนนั้นเป็นคณบดีของฝ่ายกิจการนักศึกษาอยู่เจ็ดปี คือเจอกับเด็กสารพัดรูปแบบต้องช่วยเค้าจริงๆในการแก้ปัญหาแม้แต่ ปัญหาชีวิต คือสารพัดรูปแบบเลย...
หน้าที่หลักขององค์กรแพทย์ คือ ช่วยเหลือผู้ป่วย
“ ความจริงผมเกษียณแล้วจากตำแหน่งอธิบดี ” นพ.ปัญญา สอนคม เริ่มเล่าด้วยรอยยิ้ม
“ แต่บังเอิญว่าในขณะที่เป็นอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ผมคิดว่าการที่จะทำแลปหรือว่าห้องปฎิบัติการ อาหาร ยา เครื่องสำอาง สมุนไพร อะไรต่างๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าที่ของกรมก็จริง แต่เมื่ออุตสาหกรรมเหล่านี้มันขยายใหญ่ขึ้น กรมก็จะทำไม่ไหว เพราะฉะนั้นกรมก็ควรจะผ่องถ่ายหน้าที่ไปให้องค์กรเอกชน และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็จะเป็นผู้ควบคุมมาตรฐานของห้องปฎิบัติการเหล่านั้นอีกทอดนึ่ง จากความคิดอันนี้เราก็เลยติดต่อ ต่างประเทศและพยายามสร้างมาตรฐานขึ้นมาเพื่ออบรม คนในกรมวิทย์ให้คุ้นเคยกับมาตรฐานก่อน ผมทำอย่างนี้ประมาณปีกว่า ก็เกษียณอายุราชการ”
“ตอนนั้นเรามีศิษย์เก่าของกรมซึ่งไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศและบางคนก็สำเร็จแล้วได้ทำงานอยู่ที่นั้น ก็กระตือรือร้นอย่างมากที่จะมาช่วย ก็ติดต่อ องค์กร FDA เพราะว่าในอเมริกานั้น FDA เค้าทำแลปเอง ควบคุมเอง ไม่เหมือนของเราซึ่งจะเป็น อย. ตอนนั้นผมทำงานเป็นผู้ดูแลห้องปฏิบัติการของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เป็นห้องปฎิบัติสาขาโรงพยาบาลเทพธารินทร์ อาจารย์เทพ ซึ่งเป็นเจ้าของ แกเป็นคนหัวก้าวหน้า แกเชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศแคนดามาช่วย ปรับปรุงคุณภาพของโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากในการรักษาโรคเบาหวาน ในการประชุมครั้งนั้นผมจึงได้เจอ คุณหมออนุวัฒน์ และในที่สุดก็ได้มาทำโปรเจคนี้ร่วมกัน”
และนั่น คือจุดดเริ่มต้น ของโปรเจคนี้
“ช่วงนั้น เราต่างก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรกันเลย เราก็แลกเปลี่ยนกัน เชื่อมั้ย ว่าตั้งแต่เราแลกเปลี่ยนกันใช้เวลา 4-5 ชั่วโมงเลย ผมซึ่งไม่มีความรู้ทางด้านเภสัชมาก่อนก็ได้เรียนรู้จากอาจารย์ธิดา ผมเองก็มีแต่ความรู้ทางด้านบริหารโรงพยาบาล ไม่ใช่ Back Office...