วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
ภารกิจขยายขอบฟ้าเพื่อพัฒนาคุณภาพระบบบริการสุขภาพไทย      การพัฒนามาตรฐานสถานบริการสุขภาพแบบไทยๆ นั้นเริ่มต้นจากโครงการวิจัยกลไกส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลเป็นโครงการนำร่องในปี 2540 ด้วยความร่วมมือของ (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข)สวสร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส และ Joint Commission International (JCI) เริ่มต้นจาก 30 โรงพยาบาลที่ ผู้บริหารมี Growth mind set นำไปสู่การตั้ง สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล ภายใต้การกำกับของ สวรส. และเปลี่ยนเป็น สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. เพื่อทำหน้าที่ ผู้ประเมินมาตรฐานบริการสุขภาพไทยอย่างเป็นอิสระ บทเรียนที่ต้องระวังของผู้ประเมิน คือ การรับรองคุณภาพควรเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพจึงจะเกิดการพัฒนาระบบบริการสุขภาพไทยให้มีคุณภาพอย่างเกื้อหนุนกัน มีแนวคิดของบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนในระบบสุขภาพเป็นเจ้าของร่วมกัน มีกระบวนการให้ความรู้ แลกเปลี่ยนวิธีการแก้ปัญหา ช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยความเป็นกัลยาณมิตรใช้การให้อภัย ให้โอกาส ไม่ลงโทษ พร้อมด้วยการนำคติความเป็นไทยมาใช้ ได้แก่ ศรัทธาในวิชาชีพ มีเมตตากรุณา มีน้ำใจ บริการสุขภาพเป็นเสมือนบุพการี เห็นความสำคัญของการช่วยชีวิต ความรับผิดชอบต่อชีวิตและสุขภาวะของผู้ป่วย โดยใช้เกณฑ์มาตรฐาน และกระบวนการพัฒนา จากการมี National HA furum ที่การเลือกหัวข้อ ในการเรียนรู้ พัฒนาตนเอง และนำมาเสนอแลกเปลี่ยน...
     ในปัจจุบัน คำว่า Wellness มีปรากฏให้เห็นเคียงคู่กับคำว่า Health มากขึ้นเรื่อย ๆ บทความนี้จะพาผู้อ่านขึ้น Time Machine ไปสำรวจอนาคตสุขภาพแลสุขภาวะในอีก 10 ปีข้างหน้า รวมทั้งการสำรวจแง่มุมต่างๆ ของ Health and Wellness ให้ดียิ่งขึ้นผ่านมุมมองของนักอนาคตศาสตร์ นักธุรกิจ และแพทย์ Session 1 : Foresight and Futures of Health and Wellness in Thailand 2023 โดย วิพัตรา โตเต็มโชคชัยการ (ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษาฟิวเจอรเ์ทลส์ แล็บ)      ในสถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศไทยเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหลายด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงอายุมากขึ้น มลพิษทางสิ่งแวดล้อม ความสามารถในการเข้าถึงระบบริการสุขภาพ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามามีบทบาท เช่น Medical AI, Genetic Testings เป็นต้น โดยทีมวิจัยได้นำสัญญาณการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มาวิเคราะห์ร่วมกับ Megatrend ของโลก และปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ  เกิดเป็นภาพอนาคตที่ฉายออกมาเป็น...
Statistics on Burnout in Singapore:      A pre-pandemic survey in Singapore revealed concerning burnout rates among healthcare professionals, with  37.8% reporting emotional exhaustion,  29.7% experiencing depersonalization (detachment from patients), and  55.5% lacking personal accomplishment.       Combined, these scores translate to 43.9% of healthcare workers experiencing burnout. Post-pandemic surveys showed a slight decrease in emotional exhaustion but an increase in the lack of...
สถิติด้านภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) ของกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศสิงคโปร์พบว่า 37.8% รายงานว่ารู้สึกหมดแรงทางอารมณ์ (emotional exhaustion) 29.7% ประสบภาวะไม่เห็นคุณค่าในผู้ป่วย และ/หรือความห่างเหินจากผู้ป่วย (depersonalization detachment from patients) 55.5% ขาดความรู้สึกประสบความสำเร็จส่วนบุคคล  43.9% ของบุคลากรทางการแพทย์ประสบภาวะหมดไฟในการทำงาน      ทั้งนี้พบว่าการสำรวจหลังการระบาดของโควิด  19 พบว่าอาการหมดแรงทางอารมณ์ลดลงเล็กน้อย แต่การขาดความรู้สึกประสบความสำเร็จส่วนบุคคลกลับเพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบของภาวะหมดไฟในการทำงานต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย:      จากการศึกษาแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างภาวะหมดไฟในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์กับประเด็นดังต่อไปนี้: ความผิดพลาดในการวินิจฉัยและกระบวนการทางการแพทย์เพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานของแพทย์และพยาบาลลดลง คุณภาพการดูแลผู้ป่วยลดลง การให้ความสำคัญของความปลอดภัยทางจิตใจ       ผู้บรรยายได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความปลอดภัยทางจิตใจ ซึ่งช่วยให้บุคลากรกล้าพูดถึงข้อผิดพลาดโดยไม่ต้องกลัวการตำหนิ โดย SingHealth ใช้การแบ่งประเภทความปลอดภัยทางจิตใจดังนี้: ความปลอดภัยในการเป็นส่วนหนึ่งของทีม (Inclusion safety) – รู้สึกสบายใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งของทีม ความปลอดภัยในการเรียนรู้ (Learner safety) – รู้สึกปลอดภัยในการถามคำถามและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด ความปลอดภัยในการมีส่วนร่วม (Contributor safety) – รู้สึกปลอดภัยในการแบ่งปันความคิดและมีส่วนร่วม ความปลอดภัยในการท้าทาย (Challenge safety) – รู้สึกปลอดภัยในการท้าทายความคิดของผู้อื่น การรับมือกับพฤติกรรมไม่สุภาพและการละเมิด      ผู้บรรยายได้ชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของพฤติกรรมที่ไม่สุภาพ (หยาบคาย) และการละเมิดจากผู้ป่วยต่อบุคลากรทางการแพทย์โดย SingHealth...
     The Institute of Medicine ให้ความหมายของข้อผิดพลาดในการวินิจฉัยโรค (Diagnostic Error) ว่าเป็นการท่ีไม่สามารถอธิบายปัญหา สุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง และทันเวลา หรือไม่สามารถสื่อสารคําอธิบายดังกล่าวให้แก่ผู้ป่วยได้ อาจแบ่ง diagnostic error ได้เป็น 3 ประเภท คือ Missed Diagnosis หมายถึง กรณีที่อาการของผู้ป่วยไม่ได้รับคําอธิบาย เช่น อาการอ่อนเพลียหรือเจ็บปวดเรื้อรัง หรือผู้ป่วยมีอาการชัดเจนแต่ไม่ได้รับการวินิจฉัยโรค Wrong Diagnosis หมายถึง กรณีท่ีให้การวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง และมาพบสาเหตุท่ีแท้จริงภายหลัง Delayed Diagnosis หมายถึง กรณีที่ควรได้รับการวินิจฉัยโรคเร็วกว่าที่เป็น เช่น การวินิจฉัยโรคมะเร็ง      โดย Diagnostic Error ดังกล่าวถือเป็นความเสี่ยงที่แฝงเร้น โดย อ.อนุวัฒน์ ได้เสนอแนวทางการพิจารณา Diagnostic Error เป็นคำที่จำได้ง่ายๆว่า “L M I C” ซึ่งย่อมาจาก L - literature review คือ...
     Stigma in healthcare settings, particularly against people living with HIV/AIDS, is a significant barrier to accessing quality care and achieving optimal health outcomes. Discrimination and prejudice from healthcare providers can discourage patients from seeking necessary treatment, adhering to medications, and engaging in preventive measures. In Southeast Asia, where the HIV epidemic remains a pressing issue, addressing stigma...
     การบรรยายวิชาการนี้เกี่ยวกับ framework ที่เรียกว่า QIS+D เพื่อจัดการกับความรู้สึกเป็นตราบาป (stigma) ของผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ในสถานบริการสุขภาพ ทั้งนี้รายละเอียดของ framework นี้มีรายละเอียดประเด็นสำคัญในการประยุกต์ใช้ดังนี้ QIS+D Framework: QI (Quality Improvement): QI คือรากฐานของกรอบงาน โดยมุ่งเน้นการใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องเพื่อระบุและแก้ไขปัญหา D (Disaggregation): ข้อมูลที่เก็บวิเคราะห์ต้องไม่ได้เป็นข้อมูลโดยรวม แต่ต้องแยกตามประชากรเฉพาะกลุ่ม ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลของผู้ป่วยกลุ่มเฉพาะ เช่น ผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี จะไม่ถูกปกปิดด้วยค่าเฉลี่ยโดยรวม S (Stigma Measurement): เพิ่มเติมจากกรอบมาตรการคุณภาพทั่วไป stigma measurement เป็นเครื่องมือเฉพาะในการประเมินความความรู้สึกเป็นตราบาปของผู้ป่วยได้แก่: Surveys for healthcare workers คือแบบสำรวจสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่ง แบบสำรวจเหล่านี้เป็นไปตามกรอบแนวคิดของของ Laura Knight-Blade โดยถามเกี่ยวกับทัศนคติและพฤติกรรมของบุคลากรต่อผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี Patient feedback ผู้ป่วยจะได้รับการสอบถามโดยตรงเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนผ่านแบบสำรวจ การสัมภาษณ์ หรือกล่องรับความคิดเห็น Health literacy data การประเมินความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับสภาวะของตน ซึ่งจะช่วยระบุถึงความรู้สึกเป็นตราบาปที่อาจถูกหล่อหลอมด้วยข้อมูลที่คลาดเคลื่อนได้   ความท้าทายต่อการนำ QIS + D Framework มาใช้:  Non-linear Measures : การวัดผลไม่สามารถสรุปได้ด้วยตัวเลขเพียงหนึ่งเดียว ต้องเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพที่รอบด้านต้องอาศัยความรู้ ทักษะ และความตั้งใจของผู้นำไปใช้เป็นอย่างสูง Patient and...
     This presentation by Dr. Karin Jay dives into patient safety and experience in healthcare, with a particular emphasis on medical travel. Here's a breakdown of the key points with additional details: The Crucial Role of Communication:      Focus on Clear Communication: The presentation highlights the importance of clear and compassionate communication between various parties.      Organization to Patients...
     ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล วงการสุขภาพก็ไม่ได้หลุดพ้นจากกระแสนี้ เมื่อคุณนึกถึงการปรับเปลี่ยนสู่ระบบสุขภาพดิจิทัล มีแนวคิดอะไรบ้างที่ผุดขึ้นมาในใจ คำที่กำลังฮิตติดปากอย่าง AI, Blockchain, Cloud และ Big Data (A,B,C,D) ก็มักจะโผล่เข้ามา อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแส และความหวังที่ล้อมรอบเทคโนโลยีเหล่านี้ สิ่งสำคัญคือการหาสมดุลที่เหมาะสมในการประยุกต์ใช้เข้ากับงานด้านสุขภาพ      ประเด็นหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือความสำคัญของการตัดสินใจทางคลินิก ในการแพทย์ และการดูแลสุขภาพ คือความไม่แน่นอน ความแปรปรวนมากมายในอาการแสดงของผู้ป่วย พฤติกรรมของผู้ป่วย และผู้ให้บริการ การตอบสนองทางชีววิทยา และบริบททางสังคม โรคส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกวินิจฉัยจากเกณฑ์การวินิจฉัยเท่านั้น แต่อาศัยรูปแบบของอาการทางคลินิก และความน่าจะเป็นของโรคบางอย่างภายใต้ข้อมูลที่มีอยู่ (การวินิจฉัยแยกโรค)       ในขณะที่เครื่องจักรจะเก่งในเรื่องตรรกะ และการคำนวณ เครื่องจักรทำงานได้ดีตราบใดที่ข้อมูลป้อนเข้าถูกต้อง แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะสามารถแปลงเป็นดิจิทัล หรือรับในรูปแบบดิจิทัลได้ อีกทั้งข้อมูลดิจิทัลก็ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด ประสบการณ์ บริบท และการสัมผัสแบบมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อพูดถึงการสร้าง “Smart Hospital” หรือ"โรงพยาบาลอัจฉริยะ" อาจพิจารณาหลักการดังนี้ Being Smart No.1: Focus on Information & Process Improvement, Not Technology    ...
      ดร.คาริน เจย์ (Dr. Karin Jay) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Global Health Organization ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้บรรยายถึงความสำคัญของความปลอดภัยและประสบการณ์ในการรักษาพยาบาลของผู้ป่วย โดยมีสาระสำคัญดังนี้: 1. ความสำคัญของการสื่อสาร: การสื่อสารที่ชัดเจน: การสื่อสารที่ชัดเจนด้วยความรู้สึกเมตตาเข้าใจพร้อมให้ความช่วยเหลือซึ่งกันละกันระหว่างคู่สนทนามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การสื่อสารจากองค์กรไปยังผู้ป่วยและครอบครัว: อธิบายสิ่งที่คาดหวังระหว่างการเข้ารับการรักษาให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจ องค์กรควรให้ความสำคัญรวมไปถึงในคำแนะนำเรื่องที่จอดรถ, การค้นหาเส้นทางในโรงพยาบาล, นโยบายการเยี่ยมผู้ป่วย และการคำนึงถึงจิตวิญญาณ ความเชื่อ ความศรัทธาของผู้ป่วยที่เข้ารับบริการ การสื่อสารจากผู้ให้การรักษาไปยังผู้ป่วย: การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพรวมถึงการสร้างแผนการรักษาอย่างละเอียด การอธิบายขั้นตอนต่างๆ เสนอทางเลือกตามความต้องการของผู้ป่วย (เช่น เวลาปลุก หรือตัวเลือกยา) และให้ความมั่นใจในการตัดสินใจร่วมกัน การสื่อสารระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ในขณะส่งต่อผู้ป่วย: การสื่อสารที่ถูกต้องในช่วงการเปลี่ยนเวรนั้นมีความสำคัญมากในการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด มีการใช้คำย่อคำว่า "RESPECT" เพื่อเตือนให้แสดงความเคารพในระหว่างส่งต่อ และให้มั่นใจว่ามีการส่งต่อข้อมูลสำคัญ และผลการตรวจอย่างถูกต้องและทันเวลา ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายความปลอดภัยของ National Patient Safety Goal ประจำปี 2024 ที่ประกาศโดย Joint Commission ด้านการสื่อสาร 2. การระบุและแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านความรู้เรื่องสุขภาพ: ความเข้าใจเรื่องความรู้ด้านสุขภาพ: ผู้ให้บริการควรตระหนักว่าผู้ป่วยอาจมีระดับความรู้ด้านสุขภาพที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่จำเป็นจะเกี่ยวข้องกับระดับการศึกษาหรือพื้นหลัง ผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย: ความรู้ด้านสุขภาพที่ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อข้อผิดพลาดทางการแพทย์ กลยุทธ์สำหรับผู้ให้บริการทางการแพทย์:...
- Advertisement -

MOST POPULAR

HOT NEWS