Well-being and Work-life Balance

0
651

“สมดุลแปลว่าเท่ากัน” จริงหรือ?

ความเป็นมาและความสำคัญ

     ในปัจจุบัน ประเด็นเรื่องความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) และความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-life Balance) ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่หลายองค์กรให้ความสนใจและพยายามที่จะส่งเสริม เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสุข ความพึงพอใจ และประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาองค์กรที่ยั่งยืน (Sustainable Development) โดยเฉพาะในเรื่องของ Green HR ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดี และสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานของพนักงาน

ความหมาย และความเข้าใจ

  • ความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being): ไม่ได้มีนิยามที่ตายตัว แต่โดยทั่วไปหมายถึง สภาวะที่บุคคลมีอารมณ์และความรู้สึกเชิงบวก มีความพึงพอใจในชีวิต มีความรู้สึกเติมเต็ม และสามารถทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นเชิงบวกได้ รวมถึงมีความสมดุลทั้งในเรื่องชีวิตและการทำงาน
  • ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-life Balance): ไม่ได้หมายถึงการแบ่งเวลาให้เท่ากันระหว่างชีวิตส่วนตัว และการทำงาน แต่หมายถึงการที่บุคคลสามารถบริหารจัดการชีวิต และการทำงานได้โดยที่ไม่เกิดผลกระทบในเชิงลบต่อด้านใดด้านหนึ่ง และสามารถก้าวต่อไปได้โดยไม่ล้ม

ความท้าทายในการส่งเสริม Well-being และ Work-life Balance

แม้ว่าหลายองค์กรจะพยายามส่งเสริม Well-being และ Work-life Balance ของพนักงาน แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการ เช่น

  • การขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง: หลายคนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Well-being และ Work-life Balance ทำให้การส่งเสริมไม่ตรงจุด
  • มุมมองเชิงลบต่อสุขภาพจิต: ในสังคมไทย ยังมีมุมมองเชิงลบต่อเรื่องสุขภาพจิต ทำให้พนักงานไม่กล้าที่จะเปิดเผยปัญหาหรือขอความช่วยเหลือ
  • การสื่อสารและการให้ความรู้: องค์กรส่วนใหญ่ยังขาดการสื่อสารและการให้ความรู้ที่เพียงพอแก่พนักงานและผู้บริหาร ทำให้ไม่เห็นความสำคัญของ Well-being และ Work-life balance

แนวทางการส่งเสริม Well-being และ Work-life Balance

  • การให้ความรู้และความเข้าใจ: องค์กรควรให้ความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ Well-being และ Work-life balance แก่พนักงาน และผู้บริหาร
  • การสร้างความตระหนัก (Awareness): องค์กรควรสร้างความตระหนักให้พนักงานเห็นความสำคัญของการดูแลตนเองทั้งในด้านร่างกาย และจิตใจ
  • การส่งเสริมการดูแลตนเอง: องค์กรควรส่งเสริมให้พนักงานดูแลตนเอง โดยอาจจัดกิจกรรมหรือโครงการต่างๆ ที่ช่วยให้พนักงานได้สำรวจ และเข้าใจตนเอง
  • การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ Well-being และ Work-life Balance: องค์กรควรสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ Well-being และ Work-life balance เช่น การให้อิสระในการทำงาน การสนับสนุนการทำงานที่ยืดหยุ่น และการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความสุขของพนักงาน

“Work-life balance = การที่บุคคลสามารถบริหารจัดการชีวิต และการทำงานได้โดยที่ไม่เกิดผลกระทบในเชิงลบต่อด้านใดด้านหนึ่ง และสามารถก้าวต่อไปได้โดยไม่ล้ม”

บทสรุป

      สมดุลไม่ได้แปลว่าเท่ากัน แต่สมดุลแปลว่าไม่ล้ม การส่งเสริม Well-being และ Work-life Balance เป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรควรให้ความสำคัญ โดยเริ่มต้นจากการให้ความรู้ สร้างความตระหนัก และส่งเสริมให้พนักงานดูแลตนเอง รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ Well-being และ Work-life Balance ซึ่งจะนำไปสู่ความสุข ความพึงพอใจ และประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ตลอดจนการพัฒนาองค์กรที่ยั่งยืน

สรุปโดย ภก.ดร.ทรงศักดิ์ ทองสนิท

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here